แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า ‘ไม่ชำระค่าเช่านา’ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 32(1) นั้นมีความหมายรวมถึงการไม่ชำระค่าเช่าแต่บางส่วนด้วย เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือกตามที่ตกลงกันให้โจทก์ในปี พ.ศ.2521 ส่วนในปี พ.ศ.2522 จำเลยชำระให้โจทก์เพียงส่วนหนึ่งไม่ครบถ้วนตามที่ตกลง ถือได้ว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่านาให้โจทก์รวมกันเป็นเวลา 2 ปี และไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอผ่อนผันให้จำเลยโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกการเช่านากับจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ พ.ศ. 2521 จำเลยได้เช่าที่นาของโจทก์โดยตกลงชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกปีละ 380 ถัง เมื่อถึงกำหนดชำระค่าเช่าจำเลยไม่ยอมชำระโจทก์จึงร้องเรียนต่อทางอำเภอตะพานหินซึ่งได้เรียกจำเลยมาประนีประนอม ตกลงกันว่าจำเลยขอเช่าที่นาโจทก์ต่อไปอีก 1 ปี และค่าเช่าที่ค้างชำระนั้นจะชำระให้พร้อมกับค่าเช่าในปีต่อไป และค่าเช่าในปีต่อไปนั้นโจทก์ตกลงลดให้จำเลยโดยคิดเป็นข้าวเปลือก 190 ถัง ต่อมาเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์เป็นข้าวเปลือกเพียง 50 ถัง ซึ่งเป็นการผิดสัญญาและเป็นกรณีไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์รวม 2 ปี โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าที่นากับจำเลยพร้อมทั้งบอกให้จำเลยรื้อถอนห้างนาออกไปจากที่นาของโจทก์ จำเลยไม่ยินยอมขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นข้าวเปลือก 520 ถัง หรือคิดเป็นเงินรวม 15,600 บาทแก่โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนห้างนาของจำเลยออกไปจากที่นาพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์ทุกปี การบอกเลิกสัญญาเช่าที่นาของโจทก์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมมีสิทธิเช่านาจากโจทก์เป็นเวลา 6 ปี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยค้างชำระค่าเช่า 2 ปีติดต่อกันรวมเป็นข้าวเปลือก 520 ถัง คิดเป็นเงิน 9,360 บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 9,360 บาท ให้จำเลยรื้อถอนห้างนาออกจากที่นาพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องที่นาพิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายดังกล่าว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า “ไม่ชำระค่าเช่านา” ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 32(1) มีความหมายรวมถึงการไม่ชำระค่าเช่านาแต่บางส่วนด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้วพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาคงไม่บัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอผ่อนผันให้ตามเหตุที่สมควรในกรณีคดีนี้ได้ความว่า จำเลยไม่ชำระค่าเช่านาให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2521 เป็นข้าวเปลือกจำนวน 380 ถังตามที่ตกลงกัน และในปี พ.ศ. 2522 โจทก์และจำเลยตกลงคิดค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือกจำนวน 190 ถัง จำเลยชำระให้โจทก์เพียง50 ถังยังคงค้างชำระให้โจทก์อีก 140 ถัง ซึ่งก็คือจำเลยไม่ชำระค่าเช่านาให้โจทก์ครบถ้วนนั่นเอง จึงเป็นการที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่านาให้โจทก์รวมกันเป็นเวลา2 ปี และไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอผ่อนผันให้จำเลยโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกการเช่านากับจำเลยได้
พิพากษายืน