แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคหนึ่ง อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดกรณีค่าชดเชยและเงินบำเหน็จสะสมหรือบำเหน็จพิเศษไว้เป็นพิเศษ ลูกจ้างจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก
ค่าชดเชยเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องจ่ายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างในทันทีที่มีการเลิกจ้าง จึงถือว่าจำเลยผิดนัดจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่เลิกจ้างเป็นต้นไป
ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและเงินบำเหน็จสะสมหรือบำเหน็จพิเศษไม่มีกฎหมายบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในทันทีนับแต่วันเลิกจ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้นับแต่วันฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 178,020 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 29,670 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 11,268 บาท พร้อมค่าเสียหายนับแต่วันทำงานเป็นเวลา 27 ปี เป็นเงิน 801,090 บาท ค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จสะสม ณ สิ้นงวดเดือนสิงหาคม 2539 เป็นเงิน 298,742.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราออมทรัพย์ของจำเลย ค่าเสียหายสำหรับค่าจ้างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 2539 รวม 4 เดือน และโบนัส เป็นเงิน 197,147.50 บาท ค่าเสียหาย นับแต่เดือนมกราคม 2540 ถึงเดือนธันวาคม 2549 เป็นเวลา 10 ปี เป็นเงิน 7,488,194.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อ 7 วันและต่อปีนับแต่วันที่จำเลยจงใจผิดนัดชำระเงินจากต้นเงินข้างต้นทั้งหมดจนกว่าจะชำระเสร็จ และออกหนังสือรับรองการผ่านงานแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยและทุจริตต่อหน้าที่ และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 178,020 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเงิน 11,268 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในเงินต้นแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 28 สิงหาคม 2539) กับจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 29,670 บาท เงินบำเหน็จสะสมหรือเงินบำเหน็จพิเศษเป็นเงิน 65,274 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 770,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 มกราคม 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยออกใบสำคัญแสดงการทำงานของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 585 ให้แก่โจทก์ด้วย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคหนึ่ง อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์กำหนดว่า ถ้านายจ้างผิดนัดในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายดอกบี้ยแก่ลูกจ้างในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และข้อ 32 กำหนดว่า ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานสำหรับวันหยุดต่อไปนี้… (3) วันหยุดพักผ่อนประจำปี ฉะนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในระหว่างผิดนัดชำระหนี้สำหรับค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ส่วนค่าชดเชยและเงินบำเหน็จสะสมหรือบำเหน็จพิเศษนั้นประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดไว้เป็นพิเศษ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และค่าชดเชยเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในทันทีที่มีการเลิกจ้าง จึงถือว่าจำเลยผิดนัดจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและเงินบำเหน็จสะสมหรือบำเหน็จพิเศษนั้น ไม่มีกฎหมายบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในทันทีนับแต่วันเลิกจ้าง และข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับผิดจ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.