แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบุตรของโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนบุตรของโจทก์ ทั้งปรากฏจากจดหมายของจำเลยว่าจำเลยลงชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทแทนหุ้นส่วนเท่านั้น แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ จำเลย จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างร่วมกับจำเลย จำเลยไม่ยอมแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยไม่ยินยอมให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ใช้สอยครอบครองที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี จำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้บุตรผู้เยาว์โจทก์กึ่งหนึ่งหากจำเลยไม่แบ่งให้ขายทอดตลาดเอาเงินที่ได้จากการขายแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบุตรโจทก์ทั้ง 4 คน มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนบุตรของโจทก์ดังกล่าว ทั้งปรากฏจากจดหมายของจำเลยเอกสารหมาย จ.2 จ.3 จ.6 และ จ.7 ว่าจำเลยลงชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทแทนหุ้นส่วนเท่านั้น จึงแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว
พิพากษายืน