แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1663 บัญญัติให้ผู้ตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตายทำพินัยกรรมด้วยวาจาได้ การที่ผู้ทำพินัยกรรมมีอาการป่วยหนักพูดจาไม่ได้ ไม่สามารถให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ได้ แต่ไม่ปรากฏว่าขณะผู้ทำพินัยกรรมแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมนั้นผู้ทำพินัยกรรมตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตายไม่สามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่น กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่จะทำพินัยกรรมด้วยวาจาตามบทบัญญัติดังกล่าวได้.
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้โจทก์ตั้งประเด็นมาว่าจำเลยที่ 1ไปร้องขอให้ศาลสั่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกไม่มีพินัยกรรมของนางบุญนาค ยิ้มแย้มทั้งที่ความจริงนางบุญนาคทำพินัยกรรมด้วยวาจาในพฤติการณ์พิเศษ ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งหกฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าพินัยกรรมตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมเพราะนายชาญ แสงทองทำขึ้นโดยพลการซึ่งมีความหมายว่าเป็นพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั่นเองทั้งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ต่อไปอีกว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางบุญนาคแล้วเบื้องต้นสมควรจะวินิจฉัยว่าพินัยกรรมตามที่โจทก์อ้างชอบด้วยกฎหมายอันจะมีผลให้โจทก์ทั้งหกได้รับมรดกตามพินัยกรรมนั้นหรือไม่ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์อ้าง ได้มีการทำขึ้นด้วยวาจาในกรณีมีพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1663 ที่บัญญัติว่า
‘เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งบุคคลใดไม่สามารถจะทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กำหนดไว้ได้ เช่นตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตายหรือเวลามีโรคระบาดหรือสงครามบุคคลนั้นจะทำพินัยกรรมด้วยวาจาก็ได้
เพื่อการนี้ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้น
พยานสองคนนั้นต้องไปแสดงตนต่อกรมการอำเภอโดยมิชักช้าและแจ้งข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมได้สั่งไว้ด้วยวาจานั้นทั้งต้องแจ้งวันเดือนปีสถานที่ที่ทำพินัยกรรมและพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ด้วย
ให้กรมการอำเภอจดข้อความที่พยานนั้นแจ้งไว้ และพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อไว้ ฯลฯ’
การทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.1 ดังโจทก์อ้างนั้นปรากฏว่าตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นบันทึกที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2507ใจความว่านางบุญนาคมีความประสงค์ทำพินัยกรรมแต่นางบุญนาคผู้ทำพินัยกรรมมีอาการป่วยหนักพูดจาไม่ได้ไม่สามารถให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ได้แต่นางบุญนาคเคยสั่งไว้กับนายชาญ แสงทองและนายแสวง วัฒนวงศ์ว่าให้ผู้มีรายชื่อตามบันทึกดังกล่าว 6 คนได้รับที่พิพาทตามส่วนที่ระบุไว้ในบันทึกเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาวันที่15 เดือนเดียวกันจึงได้มีการทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.1 ขึ้นมีข้อความอย่างเดียวกันที่ดินพิพาทที่แต่ละคนจะได้รับตรงตามบันทึกเอกสารหมาย จ.2 ดังนี้เห็นว่าบทบัญญัติตามมาตรา 1663 ดังกล่าวบัญญัติให้ผู้ตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตายทำพินัยกรรมด้วยวาจาได้แต่ตามบันทึกเอกสารหมาย จ.2 ได้ความว่าในวันที่อ้างว่านางบุญนาคทำพินัยกรรมโดยมีพฤติการณ์พิเศษนั้นนางบุญนาคผู้ทำพินัยกรรมมีอาการป่วยหนักพูดจาไม่ได้ไม่สามารถให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ได้กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องทำพินัยกรรมด้วยวาจาตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ตามบันทึกมีใจความต่อไปว่านางบุญนาคเคยสั่งไว้เกี่ยวกับเรื่องทัพย์สินคือให้ส่วนแบ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทก็มิได้ระบุว่าสั่งไว้เมื่อใดอันหมายความว่ามิได้สั่งในวันทำพินัยกรรมด้วยวาจาแต่จะเป็นการสั่งขณะนางบุญนาคตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตายหรือไม่ ขณะสั่งนางบุญนาคสามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ไม่ปรากฏ ดังนี้เห็นว่าพินัยกรรมตามที่โจทก์อ้างไม่สมบูรณ์มีผลบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว…’
พิพากษายืน.