คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์พบว่ามาตรวัดน้ำที่โจทก์ติดตั้งไว้เพื่อคำนวณหน่วยน้ำที่จำเลยใช้ชำรุด ต้องคำนวณตามจำนวนหน่วยน้ำที่ใช้ในเดือนก่อน ขอให้จำเลยชำระเงินค่าน้ำที่ค้างชำระศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ 12,997 บาท โดยฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่ามาตรวัดน้ำไม่ชำรุด ซึ่งมีผลเท่ากับว่าจำเลยชนะคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน 42,514 บาท เต็มตามฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่ามาตรวัดน้ำชำรุดตรงตามฟ้อง เป็นการแก้ข้อสำคัญตามประเด็นที่จำเลยชนะคดีในศาลชั้นต้นให้แพ้ทั้งหมด จึงเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาการขอใช้น้ำในบ้านกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับจะปฏิบัติตามสัญญาและรับว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้น้ำประปาของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาข้อบังคับดังกล่าวกำหนดว่าหากมาตรวัดน้ำเสียหรือชำรุด ทราบจำนวนน้ำที่ใช้ไม่ได้ให้คิดคำนวณหน่วยน้ำที่ใช้ตามจำนวนหน่วยน้ำที่ผู้ใช้น้ำได้ใช้ในเดือนที่แล้วมา โดยคิดถัวเฉลี่ย 3 เดือนก่อนที่ได้ใช้ไปแล้ว ต่อมาวันที่19 สิงหาคม 2524 โจทก์พบว่ามาตรวัดน้ำที่โจทก์ติดตั้งไว้เพื่อคำนวณหน่วยน้ำที่จำเลยที่ 1 ใช้นั้นชำรุด ได้ซ่อมแล้วเสร็จวันที่ 4 กันยายน 2524 จำนวนน้ำที่จำเลยที่ 1 ใช้ไปในเดือนสิงหาคม และกันยายน 2524 จึงต้องคิดคำนวณโดยวิธีเฉลี่ยได้ผลเฉลี่ยต่อเดือน ๆ ละ 2,671 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นค่าน้ำและค่าธรรมเนียมเดือนละ 14,410.50 บาท รวมสองเดือนเป็นเงิน28,821 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระเงินดังกล่าว โจทก์จึงงดจ่ายน้ำตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2524 จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าน้ำและค่าธรรมเนียมเดือนตุลาคม 2524 จำนวน 12,997 บาท จำเลยที่ 1 ค้างชำระรวมทั้งสิ้น 41,818 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 42,514 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 41,818บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า มาตรวัดน้ำของโจทก์ไม่ได้ชำรุดเสียหาย เหตุที่เลขหมายในมาตรวัดน้ำขึ้นน้อยกว่าปกติเพราะจำเลยเปิดน้ำใช้เพียงจำนวนเล็กน้อยโจทก์จึงไม่มีสิทธิทำการประเมินราคาการใช้น้ำตามระเบียบของโจทก์ได้ โจทก์มีสิทธิคิดได้ตามหมายเลขในมาตรวัดน้ำเท่านั้นซึ่งคิดเป็นเงิน 11,300 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน12,997 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2525 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยชดใช้เพียงเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน42,514 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 41,818 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 800 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่ามาตรวัดน้ำชำรุดจนทราบจำนวนน้ำที่ใช้ไม่ได้ในเดือนสิงหาคม 2524 และในวันที่ 1 ถึงวันที่ 3กันยายน 2524 แต่เงินค่าน้ำที่โจทก์คิดก็ไม่ถูกต้อง แล้ววินิจฉัยว่า ‘…ส่วนปัญหาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ต้นเงิน 12,997 บาท โดยฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า มาตรวัดน้ำไม่ชำรุด ซึ่งมีผลเท่ากับว่าจำเลยชนะคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน 42,514 บาทเต็มตามฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า มาตรวัดน้ำชำรุดตรงตามฟ้องเป็นการแก้ข้อสำคัญตามประเด็นที่จำเลยชนะคดีในศาลชั้นต้นให้แพ้ทั้งหมดจึงเป็นการแก้ไขมากไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์26,104.09 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2525 จนกว่าชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามศาล เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองใช้แทนตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม1,800 บาท’.

Share