คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องให้งดสืบพยานของคู่ความ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ใช่คำสั่งพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายชี้ขาดเบื้องต้น กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนหุ้นให้แก่โจทก์ที่ 2 ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 145,125 บาท กับดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำและขาดอายุความกับต่อสู้คดีปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ และฟ้องแย้งให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าหุ้นแก่จำเลย

ศาลแพ่งได้ชี้สองสถาน โดยกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบให้โจทก์เป็นผู้นำสืบก่อน

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เปลี่ยนหน้าที่นำสืบโดยให้จำเลยนำสืบก่อน

ศาลนัดมาพร้อมกัน และสอบถามคู่ความแล้วมีคำสั่งว่า ที่ให้โจทก์นำสืบก่อนนั้น ไม่จำเป็นต้องสืบ จึงให้งดสืบพยานโจทก์นั้นเสียให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบตามฟ้องแย้ง แล้วให้โจทก์สืบแก้

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลแพ่งที่ให้งดสืบพยานโจทก์นั้นเห็นได้ว่าเป็นเรื่องศาลแพ่งสั่งงดสืบพยานในประเด็นข้อ 1 และ 2 หาใช่เป็นการสั่งเปลี่ยนหน้าที่นำสืบไม่ การสั่งเช่นนี้ ศาลสั่งได้โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง ไม่ใช่เป็นการสั่งตามมาตรา 24 เพราะไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นประเด็นในคดี การที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าเพราะคู่ความรับข้อเท็จจริงกันแล้วก็ดี มีคำพิพากษาในคดีเรื่องอื่นอยู่แล้วก็ดี ก็เป็นแต่เพียงเหตุผลที่ศาลสั่งงดสืบพยาน หายังถึงชั้นวินิจฉัยในตัวประเด็นไม่ กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นอันคู่ความจะอุทธรณ์คำสั่งได้ในบัดนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลแพ่งในเรื่องหน้าที่นำสืบนี้เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 นั้น ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share