แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรฎีกาได้ จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีขณะอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 6 พ.ศ. 2518 การที่ศาลชั้นต้นยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2534 มาสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์นั้นเป็นการใช้กฎหมายใหม่ย้อนหลัง แก่คดีที่เกิดก่อนเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินแปลงหมายเลข 3 ตามแผนที่ ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน แปลงดังกล่าว ให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหาย จำนวน 10,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่า จำเลยจะเลิกเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับลงวันที่ 11 ธันวาคม 2534(อันดับ 76)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์และจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ซึ่งใช้อยู่ในวัยยื่นฎีกาและคดีไม่มีเหตุยกเว้นให้ฎีกาได้ตาม มาตราดังกล่าว การพิจารณาว่าคู่ความมีสิทธิฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายและสิทธิในวันยื่นฎีกาเป็นสำคัญ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกามานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง