คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3458/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาวางมัดจำจะซื้อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์จากจำเลยที่ 2สัญญาระบุว่า คู่สัญญาจะทำหนังสือสัญญาซื้อขายต่อกัน แต่มิได้กำหนดเวลาไว้ว่าจะต้องทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อใด คู่สัญญาจึงต้องมาตกลงกันอีกครั้งในเวลาอันสมควรว่าจะทำการซื้อขายกันเมื่อใดให้แน่ชัดลงไป แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกำหนดเวลาทำการซื้อขายกัน กลับทิ้งช่วงเวลานานถึง 5 ปีเศษ แสดงให้เห็นว่าต่างไม่นำพาที่จะปฏิบัติตามสัญญาในเวลาอันสมควรฝ่ายใดจะอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหาได้ไม่ และเป็นที่เห็นได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 2 ต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 83774 พร้อมทาวนส์เฮาส์ เลขที่ 1194/21 โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญาเป็นเงิน 360,000 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์จะชำระให้จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ทำการก่อสร้างทาวน์เฮาส์แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โดยโฉนดที่ดินดังกล่าวมีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ลงบนที่ดินเพื่อเสนอขายแก่บุคคลที่ทั่วไปอันเป็นธุรกิจการค้าร่วมกันของจำเลยทั้งสอง ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ไปตรวจรับมอบทาวน์เฮาส์ โจทก์ได้ไปตรวจสอบแล้วพบว่าการก่อสร้างทาวน์เฮาส์มีข้อบกพร่องหลายประการจึงได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จและจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์ให้โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย และจำเลยที่ 2 ยังใช้สิทธิไม่สุจริตบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์พร้อมทั้งริบมัดจำ ทั้งที่จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันแก้ไขข้อบกพร่องทาวน์เฮาส์เลขที่ 1194/21 ให้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบให้โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เป็นผู้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น เมื่อแก้ไขข้อบกพร่องแล้วเสร็จให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 83774 พร้อมทาวน์เฮาส์เลขที่1194/21 และรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 555,000 บาท จากโจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ดังกล่าวให้โจทก์ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินมัดจำจำนวน360,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 83774 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลงทุนก่อสร้างทาวน์เฮาส์ ขายพร้อมที่ดิน และได้ทำหนังสือสัญญามัดจำกับโจทก์จริงแต่โจทก์ได้ประพฤติผิดสัญญา กล่าวคือ เมื่อโจทก์วางเงินมัดจำกับจำเลยจำนวน 360,000 บาท แล้ว จำเลยได้ให้โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายอีกฉบับ แต่โจทก์ไม่ยอมทำสัญญากับจำเลยเพื่อหลีกเลี่ยงกำหนดระยะเวลาในการโอน เมื่อจำเลยทั้งสองได้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์เรียบร้อย จำเลยได้เรียกให้โจทก์ไปโอนหลายครั้ง แต่โจทก์อ้างว่าไม่มีเงินพอ ต่อมาจำเลยได้พาโจทก์ไปกู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์แต่ธนาคารไม่อนุญาตให้กู้ หลังจากนั้นโจทก์ไม่เคยติดต่อกับจำเลยอีกเลย จึงเป็นการแสดงชัดแจ้งอยู่แล้วว่าโจทก์ได้สละสิทธิในเงินมัดจำ จำเลยเห็นว่าเวลาผ่านไป 5 ปีเศษ จึงมีหนังสือบอกกล่าวริบมัดจำไปยังโจทก์ทาวน์เฮาส์เลขที่ 1194/21 ของจำเลยไม่มีข้อบกพร่องดังโจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 360,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยทั้งสองจะต้องคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า สัญญามัดจำข้อ 3 ระบุว่าเมื่อผู้วางมัดจำได้ชำระเงินมัดจำครบถ้วนแล้วคู่สัญญาจะได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกัน และจะได้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายต่อไปด้วย สัญญามัดจำดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาไว้ว่าให้คู่สัญญามาทำการซื้อขายกันเมื่อใด คู่สัญญาจึงต้องมาตกลงกันอีกครั้งหนึ่งในเวลาอันสมควรว่าจะทำการซื้อขายกันเมื่อใดให้แน่ชัดลงไปแต่ไม่ปรากฏว่าทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยที่ 2ได้มาตกลงกำหนดเวลาทำการซื้อขายทรัพย์พิพาทกัน กลับทิ้งช่วงเวลาไว้นานถึง 5 ปีเศษ แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาไม่นำพาที่จะปฏิบัติตามสัญญาในเวลาอันสมควร ฝ่ายใดจะอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหาได้ไม่และพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว ดังนั้นโจทก์และจำเลยที่ 2 จึงต้องกลับคืนสู้ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหุ้นส่วนกัน จึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share