คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3452/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ขับรถตามกันมามีรถยนต์เก๋งอยู่กลาง เมื่อถึงที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา โจทก์ที่ 2 ขับรถแซงขวา ด้วยความเร็วสูง และตามรถคันหน้าอย่างกระชั้นชิด จึงไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เหตุที่รถชนกันจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 2 ฝ่ายเดียว

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลัง เป็นโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง เป็นโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 2
โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารปรับอากาศ หมายเลขทะเบียน 11-3125 กรุงเทพมหานคร หมายเลขข้างรถ18-35 แล่นระหว่างกรุงเทพมหานคร – เชียงใหม่ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 80-2619 นครปฐม และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อวันที่9 กรกฎาคม 2530 ขณะนายบุญเชิญ ชมสุข ลูกจ้างโจทก์ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศดังกล่าว มาตามถนนพหลโยธินมุ่งหน้าจากจังหวัดกำแพงเพชรไปกรุงเทพมหานครด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ทันใดนั้นจำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างออกจากไหล่ทางในทางเดียวกัน และเปลี่ยนช่องเดินรถกะทันหัน เพื่อจะเข้าวัดบ้านไร่ดอนแตง ตัดหน้าและพุ่งชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายบริเวณช่วงหน้าและด้านซ้าย โจทก์ต้องเสียค่าซ่อมแซมรถยนต์ทั้งสิ้น 117,367 บาท และต้องเสียเวลาซ่อมแซมเป็นเวลา 30 วันขาดประโยชน์อันควรได้วันละ 5,000 บาท รวมเป็นเงินค่าขาดประโยชน์150,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 267,367 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 276,169.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 117,367 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองในสำนวนแรกให้การร่วมกันว่า นายบุญเชิญ ชมสุขลูกจ้างโจทก์ขับรถโดยใช้ความเร็วสูงประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน80-2619 นครปฐม นำหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และยังมีรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลขับนำหน้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศของโจทก์อีก 1 คันจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความระมัดระวังโดยหันมองดูด้านหลังพบรถยนต์โดยสารของโจทก์ซึ่งแล่นอยู่ตามหลังในระยะห่างประมาณ 200 เมตรเพียงพอที่นายบุญเชิญจะใช้ความระมัดระวังลดความเร็วเพื่อให้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางแยกด้านขวา จำเลยที่ 1ยังได้ให้สัญญาณไฟกะพริบด้านขวาและให้สัญญาณมือเพื่อขอทางแล้วแต่นายบุญเชิญกลับไม่ลดความเร็วแล่นแซงรถยนต์เก๋งคันที่นำหน้าอยู่ซึ่งพอดีกับรถยนต์จำเลยที่ 1 เปลี่ยนช่องเดินรถและกำลังเลี้ยวเข้าสู่ทางแยกด้านขวามือ ทำให้รถยนต์ของโจทก์เฉี่ยวชนรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ตรงด้านขวาบริเวณล้อหลัง รถยนต์จำเลยที่ 1 เสียหลักตกไปพร้อมกับรถยนต์ของโจทก์ และจุดชนอยู่กึ่งกลางในช่องเดินรถด้านขวาจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์สำนวนหลังฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2619 นครปฐม จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศ หมายเลขทะเบียน11-3125 กรุงเทพมหานคร และเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 ขณะนายบุญเกิด แสงอรุณ ลูกจ้างโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์บรรทุกขวดบรรจุน้ำปลาค่อนคันรถ แล่นมาตามถนนพหลโยธินมุ่งหน้าจากจังหวัดกำแพงเพชร ไปทางจังหวัดนครสวรรค์ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด พอมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณทางแยกเข้าวัดบ้านไร่ดอนแตงซึ่งอยู่ขวามือ นายบุญเกิดได้มองดูด้านหลังเห็นรถยนต์โดยสารปรับอากาศที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นตามหลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ห่างประมาณ 200 เมตร มีรถยนต์เก๋งแล่นนำหน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพียงพอที่จำเลยที่ 1 จะลดความเร็วเพื่อให้รถยนต์ของนายบุญเกิด เลี้ยวเข้าสู่ทางแยกวัดบ้านไร่ดอนแตง นายบุญเกิดได้ให้สัญญาณไฟกะพริบด้านหลังขวาและให้สัญญาณมือเพื่อขอทางแล้ว จำเลยที่ 1 สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแต่ไม่ยอมลดความเร็ว ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล่นแซงรถยนต์เก๋งที่ขับนำหน้าอยู่พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ ในขณะที่รถยนต์ของโจทก์ได้เปลี่ยนช่องเดินรถกำลังเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางแยกด้านขวามือแล้ว หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 1ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นเสียหายรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเป็นเงิน 131,170 บาท และต้องเสียเวลาซ่อมแซม 122 วัน ซึ่งตามปกติโจทก์จะได้กำไรจากการขายส่งน้ำปลาที่ใช้รถยนต์คันเกิดเหตุบรรทุกวันละ 1,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 122,000 บาท น้ำปลาที่บรรทุกอยู่ในขณะเกิดเหตุแตกเสียหาย 20 ลัง ราคาลังละ 66 บาทเป็นเงิน 1,320 บาท และลังบรรจุน้ำปลาแตกหักเสียหาย 6 ลัง ลังละ70 บาท เป็นเงิน 420 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 11 เดือนในต้นเงิน 131,170 บาท และ 1,740 บาท เป็นเงินดอกเบี้ย 9,137 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,047 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 264,047 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 254,910 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนหลังให้การในทำนองเดียวกันว่าเหตุมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เกิดเพราะนายบุญเกิด แสงอรุณ คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถประมาทโดยขับรถออกจากไหล่ทางไปในทิศทางเดียวกัน และขับเปลี่ยนช่องเดินรถกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพื่อจะเข้าทางแยกไปวัดบ้านไร่ดอนแตงรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงเกิดการเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของโจทก์ เหตุจึงเกิดจากความประมาทของนายบุญเกิดหรือนายบุญเกิดมีส่วนประมาทร่วมอยู่ด้วยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 207,367 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 117,367 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 คำขอนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำนวนหลัง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนแรกให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2เป็นเงิน 162,910 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 132,910 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2530 ถึงวันฟ้องและในต้นเงิน 162,910 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสองฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ในสำนวนคดีแรกว่า โจทก์ที่ 2 หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อและค่าเสียหายมีเพียงใด ซึ่งข้อเท็จจริงตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบตรงกันและไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 โจทก์ที่ 2 ลูกจ้างของโจทก์ที่ 1ได้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 11-3125 กรุงเทพมหานครมุ่งหน้าจากจังหวัดเชียงใหม่เข้ากรุงเทพมหานครมาตามถนนพหลโยธินเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุหลักกิโลเมตรที่ 298-299 ตำบลดอนแตงอำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร เกิดชนกับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2619 นครปฐม ของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1เป็นผู้ขับรถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย โดยรถยนต์โดยสารปรับอากาศเสียหายด้านข้างซ้าย รถยนต์บรรทุกเสียหายทางด้านแถบขวาและมีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 ฐานขับรถโดยประมาท โจทก์ที่ 1ฎีกาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1คนขับรถยนต์บรรทุกนั้นข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1กับโจทก์ที่ 2 ต่างขับรถของตนตามกันมาโดยจำเลยที่ 1 ขับรถนำหน้าโจทก์ที่ 2 ครั้นถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาเพื่อเข้าสู่ทางแยกด้านขวามือซึ่งเป็นทางเข้าวัดบ้านไร่ดอนแตง โจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศเบิกความว่า ขณะที่พยานขับรถมาถึงที่เกิดเหตุรถยนต์บรรทุกซึ่งวิ่งอยู่ไหล่ทางได้เบนหัวรถขึ้นบนถนน พยานจึงให้สัญญาณแตรและเปิดไฟแล้วหักเลี้ยวรถออกทางขวาโดยพยานเข้าใจว่ารถยนต์บรรทุกจะวิ่งไปในทางเดียวกัน แต่ปรากฏว่ารถยนต์บรรทุกได้หักเลี้ยวขวากะทันหัน พยานได้แตะห้ามล้อและหักรถออกทางขวา รถจึงเกิดชนกัน พยานได้ประคองรถลงริมถนนข้างทางเพราะหากหักหลบเร็วจะเกิดแรงเหวี่ยงทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บและกระเด็นออกนอกรถรอยห้ามล้อปรากฏอยู่บนถนนตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.1 ของศาลแพ่ง โจทก์ที่ 1 มีนายต่วน อาวรณ์นายอุดมศรีวิชัย และนายสมเจตน์ ขันธิกุล ผู้ที่โดยสารมากับรถยนต์โดยสารปรับอากาศเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนถึงที่เกิดเหตุ เห็นรถยนต์บรรทุกแล่นบนไหล่ทางนำหน้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศเมื่อถึงที่เกิดเหตุรถยนต์บรรทุกได้เลี้ยวขวา โจทก์ที่ 2ได้ให้สัญญาณแตร แต่รถยนต์บรรทุกยังเลี้ยวขวาจึงเกิดเฉี่ยวชนกันขึ้นแล้วรถทั้งสองคันต่างพุ่งลงคูน้ำข้างถนน ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกจะนำน้ำปลาไปส่งที่บ้านไร่ดอนแตงซึ่งอยู่ทางฝั่งขวามือของถนน ขณะอยู่ห่างทางแยกเข้าบ้านไร่ดอนแตงประมาณ 50 เมตร พยานได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา มองกระจกส่องหลังเห็นรถยนต์เก๋งแล่นตามหลังอยู่ในระยะห่าง 100 เมตร หลังรถยนต์เก๋งมีรถโจทก์ที่ 2 แล่นตามอยู่ในระยะห่าง 200 เมตร พอห่างทางแยกประมาณ 30 เมตร พยานเบนรถเลี้ยวขวา รถยนต์เก๋งแซงซ้ายรถพยานไปรถของพยานอยู่ห่างเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนประมาณเมตรเศษในลักษณะเฉียงจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยก รถโจทก์ที่ 2 ไม่สามารถหักหลบไปทางซ้ายเพราะติดรถยนต์เก๋ง จึงเกิดเฉี่ยวชนกันนอกจากตัวจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุกแล้ว ยังมีนายวิม นิลสุ่ม และนายสำเนียง ธรรมวัตร คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างปากทางเข้าบ้านไร่ดอนแตงเบิกความทำนองเดียวกันว่า ระหว่างรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 กับรถยนต์โดยสารปรับอากาศของโจทก์ที่ 2 ยังมีรถยนต์เก๋งอีกคันหนึ่ง โดยรถจำเลยที่ 1 แล่นนำหน้ารถยนต์เก๋งรถโจทก์ที่ 2แล่นตามรถยนต์เก๋ง รถจำเลยที่ 1 ให้สัญญาณเลี้ยวขวา และได้ยินเสียงห้ามล้อรถโจทก์ที่ 2 สองครั้งและแล่นทางขวาตีคู่กับรถยนต์เก๋งในขณะที่รถจำเลยที่ 1 เบนเลี้ยวขวาแล้ว รถโจทก์ที่ 2 เสียหลักคล้ายห้ามล้อไม่อยู่ และไม่สามารถหักหลบซ้ายเพราะติดรถยนต์เก๋งรถโจทก์ที่ 2 จึงพุ่งชนรถจำเลยที่ 1 ตรงล้อขวาหลัง เมื่อพิเคราะห์คำพยานของทั้งสองฝ่ายประกอบคำเบิกความของร้อยตำรวจโทประสิทธิ์ ปิ่นเพชรพงษ์ ซึ่งได้ออกไปตรวจที่เกิดเหตุว่า พบรอยครูดของรถยนต์บรรทุกน้ำปลาบนถนนที่เกิดเหตุ และรอยครูดดังกล่าวห่างจากเส้นแบ่งกึ่งกลางถนน 1 เมตรเศษ ซึ่งสอดคล้องกับรอยคราบน้ำมันที่เปรอะเปื้อนบนถนนที่จุดเกิดเหตุแสดงว่าจุดชนอยู่เลยจุดกึ่งกลางถนนไปทางขวามือแล้ว ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ขับรถตามกันมา โดยมีรถยนต์เก๋งวิ่งอยู่ระหว่างรถของคนทั้งสอง ก่อนถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1ได้ให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา การที่โจทก์ที่ 2 ขับรถไปชนรถยนต์บรรทุกโดยที่จุดชนอยู่เลยกึ่งกลางถนนไปทางขวามือแล้ว แสดงว่าโจทก์ที่ 2ตั้งใจขับรถแซงรถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกขึ้นไปทางด้านขวาจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทประสิทธิ์ ได้ความว่าไม่พบรอยเบรกของรถยนต์โดยสารปรับอากาศเลย และเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายของรถยนต์บรรทุกที่ด้านขวาพังเสียหายทั้งแถบ แสดงว่า โจทก์ที่ 2 ขับรถแซงขวามาด้วยความเร็วสูง และขับตามรถคันหน้าอย่างกระชั้นชิดเมื่อพบรถยนต์บรรทุกกำลังเบนรถเลี้ยวขวาก็ไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ เหตุที่รถทั้งสองคันชนกันจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 2 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1มิได้มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของโจทก์ทั้งสองในสำนวนคดีหลัง

Share