แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ม.ขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะอะไร หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับจำเลยที่ 1ผู้เอาประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดของ ม. เมื่อฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย ฟ้องของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน80-1329 พระนครศรีอยุธยา จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 3ร-1540 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาของนายมานิต อุ่นช่วง ผู้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการรับประกันภัยและเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2530 นายมานิตขับรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 1 จากทางแยกเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูนจะเข้าไปในทางหลวงโดยประมาท พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์กระเด็นตกไปข้างถนน โจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน422,300 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน412,300 บาท
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยโจทก์ไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 มีนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายอย่างไรกับนายมานิตผู้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 อันจำเลยที่ 1จะต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในนามของบุคคลใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายมานิต อุ่นช่วง ชำระเงิน 140,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 395,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำแก้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายในกำหนด มีคำสั่งให้รับแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมก่อน เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 3ร-1540กรุงเทพมหานคร คันเกิดเหตุ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่านายมานิตขับรถยนต์คันเกิดเหตุในฐานะอะไรหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นอันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดของนายมานิต เมื่อฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วยคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 3 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2