คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่พิพาทแก่จำเลยเพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หาเพราะโจทก์ได้รับค่าตอบแทนจากจำเลย การที่จำเลยอ้างเหตุต่อมาว่าความจริงเป็นการซื้อขายซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลย ก็เป็นเหตุแห่งการปฏิเสธของจำเลยว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หานั่นเอง หาได้ทำให้เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันจนไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลย ต่อมาจำเลยประพฤติเนรคุณ ขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญาให้และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแทนจำเลยหากจำเลยไม่ยอม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาในการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้กาารและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา จำเลยไม่ได้ประพฤติเนรคุณโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาาจฟ้องเพิกถอนการให้และเรียกคืนที่พิพาทจากจำเลยเพราะโจทก์สละสิทธิครอบครองที่พิพาทและโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลยโดยจำเลยได้ชำระค่าตอบแทนให้แก่โจทก์และได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ด้วย หนังสือสัญญาให้ที่พิพาททำขึ้นเพราะโจทก์ต้องการที่จะหลบเลี่ยงค่าธรรมเนียมและค่าอากร มิใช่ทำขึ้นเพื่อเจตนาที่แท้จริงของโจทก์และจำเลย หนังสือสัญญาให้ที่พิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องถอนคืนการให้ ต่อมาโจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทแล้วไม่ชำระค่าเช่า จำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่า ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท และให้ชำระค่าเช่าหรือค่าขาดประโยชน์จนกว่าโจทก์และบริวารจะรื้อบ้านออกจากที่พิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทกับจำเลย สัญญาซื้อขายที่จำเลยอ้างมานั้นเป็นสัญญาปลอมโดยจำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ชำระค่าเช่าทุกปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์ได้ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทไว้กับนายชูเกียรติ พัฒนกุลเกียรติ์ ครั้นเมื่อครบกำหนดตามสัญญาขายฝาก โจทก์ไม่ได้ไถ่ถอนที่พิพาทคืนจนกระทั่งวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ นายชูเกียรติได้ทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ และในวันเดียวกันนั้นเอง โจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่จำเลย แต่ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา และวินิจฉัยว่า ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ชอบกล่าวคือตอนแรกให้การว่า โจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา แต่จำเลยได้ที่พิพาทโดยการซื้อขาย สัญญาให้ตกเป็นโมฆะ ตอนหลังกลับให้การว่า หากสัญญาให้มีผลบังคับได้โจทก์ก็ไม่มีอำนาจเพิกถอนและเรียกคืนการให้เพราะโจทก์ได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยได้รับค่าตอบแทน จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบนั้น พิจารณาคำให้การของจำเลยโดยตลอดแล้ว เห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หาเพราะโจทก์ได้รับค่าตอบแทนจากจำเลย การที่จำเลยอ้างเหตุต่อมาว่า ความจริงเป็นเรื่องการซื้อขาายซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลย ก็เป็นเหตุแห่งการปฏิเสธของจำเลยว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หานั่นเอง หาได้ทำให้เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันจนไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้
พิพากษายืน.

Share