คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพียงไม่เป็นบุคคลซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 แล้วก็อาจถูกร้องขอต่อศาลให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้ เมื่อผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องก็มีอำนาจกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกซึ่งได้แก่การรวบรวมทรัพย์มรดกแล้วดำเนินการแบ่งปันให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกต่อไป ในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคน การทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต้องร่วมกันจัดการและถือเอาเสียงข้างมาก จะจัดการโดยลำพังไม่ได้หากผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำการตามหน้าที่หรือมีเหตุให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และหากมีเหตุอันเกิดจากฝ่ายผู้ร้องในทำนองเดียวกันผู้คัดค้านทั้งสองก็มีสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกันกับผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องภายหลังที่ผู้ร้องสืบพยานได้เพียง 2 ปาก ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองจึงยังฟังไม่ได้ว่ามีเหตุต้องถอนฝ่ายใดจากการเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ศาลชั้นต้นจึงไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานดังกล่าวควรสืบพยานต่อไปให้เสร็จสิ้นกระแสความแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายสมบูรณ์นันทาภิวัฒน์ ผู้ร้องกับนางรัมภา นันทาภิวัฒน์ ผู้คัดค้านที่ 1 และนางเล็ก นันทาภิวัฒน์ ผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์ ผู้ตายร่วมกัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมีความเห็นขัดแย้งในเรื่องจัดการมรดกกับผู้คัดค้านทั้งสอง เพราะผู้คัดค้านทั้งสองได้ละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดก ทั้งไม่ปรึกษาผู้ร้องในการจัดการมรดกและไม่จัดการโอนทรัพย์มรดกอันได้แก่ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่เด็กชายภัทร นันทาภิวัฒน์ ตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526 นอกจากนี้ยังได้นำหุ้นของธนาคารแหลมทอง จำกัด จำนวน 30,000 หุ้นของผู้ตายไปจำนำไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อประกันหนี้ของพลเอกสม ขัตพันธุ์ เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท และผู้คัดค้านทั้งสองยังได้นำเงินฝากบางส่วนอันเป็นเงินของเด็กชายภัทรซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารแหลมทอง จำกัดเอาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้เด็กชายภัทรเสียประโยชน์ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันมีความจำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์ของทายาทผู้เยาว์ไว้ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยให้ผู้ร้องแต่ฝ่ายเดียวเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เดิมผู้คัดค้านที่ 1ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก แต่เนื่องจากผู้ร้องมีพฤติการณ์จะไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ทายาท ผู้คัดค้านทั้งสองจึงต้องร้องขอเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องผู้คัดค้านทั้งสองไม่เคยนำเงินฝากของเด็กชายภัทรไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ส่วนที่ดินนั้น ผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิตสำหรับบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526 เป็นกรณีที่เด็กชายภัทรผู้เยาว์จะรับเอาทรัพย์มรดกที่มีค่าภาระติดพันต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจากศาลจึงเป็นโมฆะผู้คัดค้านทั้งสองไม่เคยตกลงแบ่งหุ้นของธนาคารแหลมทอง จำกัด จำนวน30,000 หุ้น ให้แก่เด็กชายภัทร ที่ผู้ร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อทายาทผู้คัดค้านทั้งสองเป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก แต่ผู้ร้องไม่ใช่ทายาทผู้มีส่วนได้เสีย จึงไม่มีสิทธิร้องขอถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก พฤติการณ์ของผู้ร้องเป็นการกระทำตามอำเภอใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายตลอดมา ไม่มีทางที่จะร่วมกันจัดการมรดกได้อีกต่อไป จึงขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานผู้ร้องได้ 2 ปาก แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำต้องไต่สวนพยานผู้ร้องและพยานผู้คัดค้านอีกต่อไปมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องและคำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสอง
ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นอา เป็นทายาทลำดับที่ 6ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นคู่สมรสมีบุตรกับผู้ตาย 1 คนคือเด็กชายภัทรนันทาภิวัฒน์ เป็นทายาทลำดับที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นมารดาเป็นทายาทลำดับที่ 2 ผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ไม่มีสิทธิมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ แต่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นผู้ร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก และศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว เห็นว่า ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้นจะเป็นใครก็ได้ถ้าไม่เป็นบุคคลที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็อาจถูกร้องขอต่อศาลให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้ ในเมื่อผู้ร้องยังไม่ได้ถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องก็มีอำนาจกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกซึ่งได้แก่การรวบรวมทรัพย์มรดกแล้วดำเนินการแบ่งปันให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกต่อไป ถือได้ว่ากระทำแทนทายาทผู้มีสิทธิ และในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคน การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องร่วมกันจัดการและถือเอาเสียงข้างมาก จะจัดการโดยลำพังไม่ได้หากผู้คัดค้านทั้งสองละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดก หรือมีเหตุให้เพิกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และหากมีเหตุอันเกิดจากฝ่ายผู้ร้องในทำนองเดียวกันผู้คัดค้านทั้งสองก็มีสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกับผู้ร้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานผู้ร้องภายหลังที่ผู้ร้องสืบพยานได้เพียง2 ปาก ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้จากพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองว่า มีเหตุที่จะต้องถอนฝ่ายใดจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามประเด็นแห่งคดีหรือไม่ ในชั้นนี้ศาลชั้นต้นไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share