คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีรายได้จากการค้าและทำไร่พอดำรงชีพ แม้จะได้รับเงินส่วนแบ่งจากหญิงซึ่งค้าประเวณีจำเลยก็ไม่มีความผิดตาม ประมวลอาญา มาตรา 286

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 286 ป.ว.11 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 10 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบคงปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยได้รับเงินส่วนแบ่งจากหญิงซึ่งค้าประเวณีเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่มีปัจจัยอย่างอื่นอันปรากฏสำหรับดำรงชีพหรือไม่มีปัจจัยพอเพียงสำหรับดำรงชีพอันจะถือว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบคงได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีพงศ์สันต์วัชราธร พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยว่า จำเลยเป็นแพทย์ประจำตำบลเบิกไพรและอยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 9 ตำบลเบิกไทร ซึ่งเป็นคนละตำบลกับตำบลที่เกิดเหตุและได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกไพศาล ประดิษฐ์พงศ์ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่าจำเลยเคยเป็นทหารเสนารักษ์มาก่อน ขณะถูกจับกุมจำเลยเป็นแพทย์ประจำตำบลเท่านั้น ไม่พอฟังว่าจำเลยไม่มีปัจจัยอย่างอื่นอันปรากฏสำหรับดำรงชีพหรือไม่มีปัจจับพอเพียงสำหรับดำรงชีพอันจะถือว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงในการค้าประเวณี ตรงกันข้ามฝ่ายจำเลยนำสืบพยานรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นแพทย์ประจำตำบลเบิกไพรมา 15 ปีแล้ว จำเลยเปิดร้านขายยาพอช่วยเหลือชาวบ้านและได้ร่วมกับนายประเสริฐ บุญฉาย ทำไร่อ้อย150 ไร่ เฉพาะในปีที่เกิดเหตุ จำเลยได้ส่วนแบ่งจากกำไรหนึ่งแสนบาทเศษแสดงว่าจำเลยได้ประกอบอาชีพเป็นหลักฐานและมีรายได้จากการค้าขายและจากการทำไร่อ้อยพอเพียงสำหรับดำรงชีพ ดังนั้นถึงแม้จะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยได้รับเงินส่วนแบ่งจากหญิงซึ่งค้าประเวณี จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 ดังโจทก์ฟ้อง”

พิพากษายืน

Share