คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3417/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ที่จะเข้าข่ายบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า12.ธนาคารชนิด1อันจะต้องเสียภาษีการค้านั้นจะต้องมีลักษณะทำนองเดียวกับธนาคารและจะต้องเป็นการประกอบกิจการโดยปกติด้วยคำว่า”โดยปกติ”ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าได้มีการประกอบกิจการดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาการที่โจทก์ขายกิจการด้านการตลาดให้แก่บริษัทอื่นแล้วแปลงหนี้เป็นหนี้เงินกู้หรือการที่โจทก์ให้บริษัทอื่นกู้ยืมเงินไปสร้างโรงงานผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หรือซื้อเรือบรรทุกน้ำมันซึ่งแต่ละรายล้วนแต่ได้กระทำเพียงครั้งเดียวทั้งสิ้นนั้นไม่อาจแปลไปได้ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ทั้งนี้แม้จะได้รับดอกเบี้ยเป็นประจำโดยตลอดและได้ดอกเบี้ยต่ำโดยโจทก์ได้ประโยชน์ในการขยายกิจการและการผลิตการจำหน่ายเพิ่มขึ้นก็ตาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และให้กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีจำนวน1,325,464.80 บาท ที่โจทก์เสียไปให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้คืนเงินภาษีตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่าบริษัทโจทก์กับบริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด บริษัทลิควิดคาร์บอนิค จำกัดบริษัทโอเชียนนิคทรานสปอร์ต จำกัด เป็นบริษัทในเครือเดียวกันบริษัทโจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากบรษัทซัมมิทออยล์ จำกัด โดยคิดจากเงินค้างชำระค่าซื้อขายทรัพย์สิน และธุรกิจการตลาดเนื่องจากโจทก์ขายกิจการด้านการตลาดให้แก่บริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด โดยคิดจากเงินส่วนเฉลี่ยค่าเช่าสำนักงานที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไปก่อน และคิดจากการยืมน้ำมันเพื่อไปจำหน่าย จากบริษัทลิควิดคาร์บอนิค จำกัดที่ยืมเงินจากโจทก์ไปสร้างโรงงานผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และจากบริษัทโอเชียนนิคทรานสนอร์ต จำกัด ที่ยืมเงินจากโจทก์ไปซื้อเรือบรรทุกน้ำมัน เงินดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับมาดังกล่าวเจ้าพนักงานประเมินถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่ได้มาจากการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ชนิด 1 จึงได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมทั่งภาษีบำรุงเทศบาลจากโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2518-2521 โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามเอกสาร จ.1 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัย ตามเอกสารหมาย จ.2 ว่า การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ให้ผู้อื่นยืมเงินแล้วคิดดอกเบี้ยหรือขายกิจการด้านการตลาดให้ผู้ยื่นแล้วต่อมาได้มีการแปลงหนี้เงินค้างชำระค่าซื้อกิจการเป็นหนี้การกู้ยืมแล้วคิดดอกเบี้ยจากเงินจำนวนดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการหาประโยชน์ซึ่งเป็นการค้าตามประเภทการค้า 12 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าซึ่งจำต้องนำรายรับดอกเบี้ยมาคำนวณเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 2.5ของรายรับ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว แต่มีเหตุอันควรผ่อนผัน จึงพิจารณาลดเบี้ยปรับที่ได้เรียกเก็บไปแล้ว คงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย พิจารณาปรับปรุงรายรับเฉพาะส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทโอเชียนนิคทรานสปอร์ต จำกัด สำหรับปี พ.ศ. 2518 ให้ใหม่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์ได้รับจริงเป็นผลให้ภาษีลดลง สำหรับดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด ให้โจทก์เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเฉพาะรายการที่โจทก์ขายกิจการด้านการตลาดให้บริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด แล้วต่อมาได้มีการแปลงหนี้เงินค้างชำระค่าซื้อกิจการเป็นหนี้การกู้ยืมแล้วคิดดอกเบี้ยจากเงินจำนวนดังกล่าวเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทซัมมิทออยล์ จำกัดในกรณีอื่น ๆ นอกจากนี้ และดอกเบี้ยที่รับในกรณีบัญชีเดินสะพัดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เข้าลักษณะเป็นรายรับจากการให้กู้ยืมซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้า12 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า จึงพิจารณาปลดภาษีสำหรับรายรับส่วนนี้ แล้ได้ความจากนางสาวมาลี ชิติลักษณ์ พยานจำเลยว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากสัญญาซื้อขายกิจการด้านการตลาดจากบริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด จะต้องเสียภาษีการค้าส่วนดอกเบี้ยจากเงินทดรองและจากการยืมน้ำมันไม่ต้องเสียภาษีการค้าจากบริษัทลิดวิดคาร์บอนิค จำกัด ดอกเบี้ยที่โจทก์ได้จากเงินที่ให้ยืมไปสร้างโรงงานและจากบริษัทโอเชียนนิคทรานสปอร์ต จำกัดดอกเบี้ยที่โจทก์ได้จากเงินที่ให้ยืมไปซื้อเรือบรรทุกน้ำมันต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 12 เพราะเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด จากการขายกิจการด้านการตลาด จากบริษัทลิควิดคาร์บอนิค จำกัด ที่ให้เงินยือไปสร้างโรงงานผลิตแก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์ จากบริษัทโอเชียนนิคทรานสปอร์ต จำกัด ที่ให้ยืมไปซื้อเรือบรรทุกน้ำมัน รายรับดังกล่าวถือว่าโจทก์ประกอบกิจการ โดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามความหมายของประเภทการค้า 12 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคารชนิด 1 ได้กำหนดรายการที่ประกอบการค้าไว้ได้แก่ “การออมสินที่ไม่ใช่ของรัฐบาล การธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์”นั้นหาจำต้องประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น ให้กู้ยืมอย่างธนาคาร ดังที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2515 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับระหว่างปีภาษีที่พิพากษาในคดีนี้ บัญญัติไว้ก็ตามแต่การประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามความหมายดังกล่าวจะต้องมีลักษณะทำนองเดียวกับธนาคารพาณิชย์ และจะต้องเป็นการประกอบกิจการโดยปกติด้วย ว่า โดยปกติย่อมมีความหมายในตัวเองว่าได้มีการประกอบกิจการดังเช่นที่เคยปฎิบัติมา แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฎว่า การขายกิจการด้านการตลาดให้แก่บริษัทซัมมิทออยล์ จำกัดแล้วแปลงหนี้เป็นหนี้เงินกู้ก็ดี การให้บริษัทลิควิดคาร์บอนิค จำกัดกู้ยืมเงินไปสร้างโรงงานผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และการให้บริษัทโอเชียนนิคทรานสปอร์ต จำกัด กู้ยืมเงินไปซื้อเรือบรรทุกน้ำมันก็ดีแต่ละรายการล้วนแต่โจทก์ได้กระทำเพียงครั้งเดียวทั้งสิ้น ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยปฎิบัติเช่นเดียวกันนั้นมาก่อน จึงไม่มีทางจะแปลจะประกอบกิจการของโจทก์ไปได้ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความดังจำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้รับดอกเบี้ยเป็นประจำโดยตลอด และได้ดอกเบี้ยต่ำโดยโจทก์ได้ประโยชน์ในการการขยายกิจการและการผลิตการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขี้นก็หาทำให้กิจการของโจทก์ดังกล่าวเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามความหมายของประมวลรัษฎากรไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าโจทก์ให้บริษัทในเครือของโจทก์กู้ยืมเงินไปเพื่อนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจการค้าน้ำมันอันเป็นวัตถุประสงค์เพื่อขยายกิจการค้าของโจทก์ เป็นการเกื้อกูลกันระหว่างบริษัทในเครือเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นการให้กู้ยืมเงินโดยเรียกเอาดอกเบี้ยเป็นการหาประโยชน์จากการให้กู้ยืมเงินแล้ว เห็นว่า หากพิจารณาดังจำเลยฎีกาก็จะทำให้กิจการใดก็ตามที่มีการให้กู้ยืมเงินแม้เพียงครั้งเดียว หากได้ดอกเบี้ยก็จะต้องถือว่าเป็นการประกอบกิจการค้าประเภทการค้า 12 ชนิด 1 ทั้งสิ้นซึ่งไม่น่าจะเป็นดังที่จำเลยฎีกาเพราะคำว่า “ดอกเบี้ย” ที่กำหนดไว้ในชนิด 1 ของประเภทการค้า 12ต้องพิจารณาประกอบกับรายการที่ประกอบการค้าดังกล่าวคือ ต้องประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ด้วย ดังนั้นเมื่อกรณีของโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะได้ดอกเบี้ยก็จะถือเป็นรายรับอันจะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีการค้า ในอัตราร้อยละ 2.5 ดังจำเลยฎีกาหาได้ไม่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2525 ระหว่าง บริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด โดยหม่อมหลวงทิศนุรักษ์ ชุมสาย ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์กรมสรรพากร กับพวกจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงปรากฎว่าในคดีดังกล่าวได้ให้กู้เงินในระหว่างเดือนธันวาคม 2517 ถึงเดือนกันยายน 2518 รวม13 ราย และในระหว่างเดือนตุลาคม 2519 ถึงเดือนกันยายน 2520 ให้กู้รวม 5 ราย การให้กู้ยืมเงินของโจทก์จึงเป็นการประกอบกิจการโดยปกติในทางการค้าของโจทก์ เป็นกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกับคดีนี้ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าโจทก์ไม่ได้ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ และให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share