คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตาม มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483ว่าคดีมีเหตุควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ ฉะนั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาคดีจะไม่มีประเด็นโต้เถียงกันโดยตรงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 90,000 บาท จริงหรือไม่ศาลก็มีอำนาจพิจารณาไปถึงประเด็นดังกล่าวได้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เพียง 8,000 บาท จึงไม่เข้าองค์ประกอบที่โจทก์จะฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 9(2) ที่แก้ไขแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้หลายประการและว่ามิได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ความจริงจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ ๘,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า มีเหตุควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานจำเลยที่มีจำเลยทั้งสองมาเบิกความว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันมีอาชีพรับราชการครู มีรายได้รวมกันเป็นเดือน ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ ๒ กู้เงินโจทก์ ๘,๐๐๐ บาท และรับเงินกู้มาจากโจทก์เพียง ๘,๐๐๐ บาท แต่ยอมทำสัญญากู้โดยระบุจำนวนเงินกู้ถึง ๙๐,๐๐๐ บาท เพราะจำเป็นต้องใช้เงินและหากไม่ยอมทำสัญญาดังกล่าว โจทก์ก็จะไม่ยอมให้กู้นั้นมีน้ำหนักอันควรรับฟังยิ่งกว่าพยานโจทก์มาก เพราะพยานโจทก์ซึ่งมีแต่โจทก์ปากเดียวมาเบิกความประกอบสัญญากู้และค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๒ นั้นชัดต่อเหตุผล โจทก์เบิกความว่า โจทก์มีอาชีพแม่บ้าน สามีโจทก์เป็นข้าราชการบำนาญได้รับเงินบำนาญเดือนละ ๕,๐๐๐ บาทเศษ มีบุตรอยู่วัยศึกษาเล่าเรียนถึง ๓ คน ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีรายได้ทางอื่น จึงไม่น่าเชื่อว่ามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้ที่บ้านมาให้จำเลยที่ ๑ กู้ถึง ๙๐,๐๐๐ บาท และไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะยอมให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินถึง ๙๐,๐๐๐ บาท โดยไม่มีหลักทรัพย์ใด ๆ ค้ำประกัน โดยรู้อยู่ว่าจำเลยทั้งสองมีรายได้จากเงินเดือนรวมกันเพียงเดือนละประมาณ ๕,๐๐๐ บาทเศษ คงเชื่อได้ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เพียง ๘,๐๐๐ บาท ซึ่งไม่เข้าองค์ประกอบที่โจทก์จะฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๙ (๒) พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๓ การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ว่าคดีมีเหตุที่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ ฉะนั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาคดีนี้จะไม่มีประเด็นโต้เถียงกันโดยตรงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๙๐,๐๐๐ บาทจริงหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจพิจารณาไปถึงประเด็นดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share