แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแพ่งเมื่อคำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงชัดแจ้งแล้ว ศาลมีหน้าที่ยกตัวบทกฎหมายขึ้นปรับแก่คดีเอง โจทก์ บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการมีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ย่อมแปลได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคล จึงต้องรับผิดร่วมด้วยกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แทนในมูลละเมิดที่จำเลยที่1 ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76ดังนั้น การที่ศาลวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้ขับรถไปรับนายทหารเพื่อไปที่ท่าอากาศยานแต่จำเลยที่ 1 ขับรถไปบ้านของจำเลยที่ 1ก่อนจึงเกิดเหตุขึ้น การที่จำเลยที่ 1 ขับรถออกไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการแม้จำเลยที่ 1จะขับรถไปธุระส่วนตัวก็ตาม ตราบใดที่รถยังไม่กลับถึงโรงรถ ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1ปฏิบัติหน้าที่อยู่จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แทนของตน
เมื่อเหตุละเมิดเกิดขึ้นโดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างขับรถยนต์ชนกันด้วยความประมาทเลินเล่อมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากันก็เท่ากับทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่าๆ กันค่าเสียหายย่อมเป็นอันพับกันไป
โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้ตายซึ่งนั่งมาในรถของโจทก์ที่ 2 แม้ว่าผู้ตายจะเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 แต่ก็มิได้มีส่วนร่วมในความประมาทของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ด้วย จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 โดยเฉลี่ยรับผิดเพียงครึ่งเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนายสมนึกผู้ตาย โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ม. – 5631 ได้นำรถดังกล่าวประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียนตรากงจักร 5320 และอยู่ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ขับรถยนต์ดังกล่าวไปในราชการหรือในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนายตี่ตี๋ได้ขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไปตามถนนพหลโยธิน ได้มีจำเลยที่ 1ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ตามหลังมาในทิศทางเดียวกันด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและด้วยความเร็วสูงทั้งไม่เว้นระยะห่างตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อรถของโจทก์ที่ 2 ใช้ความเร็วต่ำจึงเป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2 พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ที่จอดข้างถนนซ้ำอีก เป็นผลให้นายสมนึกผู้นั่งมาในรถของโจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย รถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เสียหาย โจทก์ที่ 3 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยให้โจทก์ที่ 2 จำนวนหนึ่งโดยผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2ซึ่งกระทำการหรือปฏิบัติราชการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ในฐานะนายจ้างหรือตัวการจึงต้องร่วมรับผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุเกิดเพราะความผิดของนายตี่ตี๋คนขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง และให้บังคับโจทก์ที่ 2 และที่ 3ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพาวุธทหารบก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำรถไปใช้ในธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถของโจทก์ที่ 2 มิใช่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ที่ 2 ให้การฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 79,450 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 12,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน30,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินแก่โจทก์ที่ 2เป็นเงิน 2,500 บาท คำขอของโจทก์ทั้งสามนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กับคนขับรถของโจทก์ที่ 2 มีส่วนประมาทเท่ากัน และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 จึงเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง ทั้งในชั้นชี้สองสถานก็มิได้กำหนดประเด็นให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการของจำเลยที่ 2 และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปในเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สำหรับคดีแพ่งนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงชัดแจ้งแล้ว ศาลมีหน้าที่ยกตัวบทกฎหมายขึ้นปรับแก่คดีเอง คดีนี้โจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ย่อมแปลได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคล จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แทนในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปในเรื่องส่วนตัวโดยจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้ขับรถไปรับนายทหารของกรมสรรพาวุธทหารบก แต่จำเลยที่ 1 กลับขับรถออกนอกกรมสรรพาวุธทหารบกไปธุระส่วนตัวก่อนเวลาปฏิบัติราชการจึงเกิดเหตุคดีนี้ พิเคราะห์แล้วได้ความจากจ่าสิบเอกถวิล กาญจนดุล ว่า จ่าสิบเอกถวิลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงรถ กรมสรรพาวุธทหารบก มีหน้าที่จัดรถไปราชการตามคำสั่งของทางราชการ มีร้อยโทจเร (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นผู้บังคับบัญชา วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ร้อยโทจเรสั่งให้จัดรถไปรับนายทหารที่สโมสรกรมสรรพาวุธทหารบกเวลา 16 นาฬิกา เพื่อไปท่าอากาศยานดอนเมือง จ่าสิบเอกถวิลจึงสั่งจำเลยให้จัดการตามที่ได้รับคำสั่งมา เวลาประมาณ 15 นาฬิกา 30 นาที จำเลยที่ 1 นำรถออกไปทราบว่าจะไปบ้านทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงเกิดเหตุคดีนี้ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 สามารถนำรถยนต์ออกจากโรงรถได้ก็เพราะได้รับความยินยอมจากจ่าสิบเอกถวิลผู้บังคับบัญชาถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ออกไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ แม้ถึงหากจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ไปธุระส่วนตัวก็ตาม ตราบใดที่รถยนต์ยังไม่กลับถึงโรงรถ ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แทนตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 กับชำระค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 3 หรือไม่เพียงใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และนายตี่ตี๋ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ต่างขับรถยนต์ชนกันด้วยความประมาทเลินเล่อมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากันดังที่ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่า ๆ กันค่าเสียหายย่อมเป็นอันพับกันไป จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 และไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 3 แต่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนายสมนึกผู้ตาย เพราะแม้ว่านายสมนึกจะเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ก็ตามแต่ก็มิได้มีส่วนร่วมในความประมาทของนายตี่ตี๋คนขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ด้วยโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบเพียงครึ่งเดียวคิดเป็นเงิน32,825 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 32,825 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์