คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1559/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่ ส. กับน้องชายจำเลยกำลังทะเลาะวิวาทและต่างคนต่างใช้เท้าเตะถีบกันอยู่นั้น จำเลยได้ใช้ปืนยิง ส. หนึ่งนัด กระสุนปืนถูก ส. ล้มลง จากนั้นจำเลยถือปืนวิ่งไปหา พ. ซึ่งยืนดูอยู่ห่างออกไปประมาณ 1 วาเศษ แล้วใช้อาวุธปืนตบตีศีรษะ พ. หนึ่งครั้งและยิงที่บริเวณศีรษะอีกหนึ่งนัด พ. ล้มลง จำเลยวิ่งกลับไปยิง ส. อีก 2-3 นัด โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของ พ. และเป็นแม่ยายของ ส. เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้วิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุ จำเลยวิ่งตามและใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมหนึ่งนัด แต่กระสุนไม่ถูก เมื่อโจทก์ร่วมล้มลงจำเลยวิ่งไล่ไปทันและได้ใช้อาวุธปืนตีทำร้ายที่ศีรษะโจทก์ร่วมจนเป็นอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บ ส่วน ส. และพ. ได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะบาดแผลที่จำเลยยิง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีต้องด้วยมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างวาระกัน กล่าวคือ
ก. จำเลยได้บังอาจใช้ปืนสั้นเป็นอาวุธยิงประทุษร้ายต่อชีวิตนายสมชาติหลายนัดโดยเจตนาฆ่า นายสมชาติถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงถึงแก่ความตาย
ข. จำเลยได้บังอาจใช้ปืนสั้นเป็นอาวุธยิงประทุษร้ายต่อชีวิตนางพรรณี ธีระนนท์ หลายนัดโดยเจตนาฆ่า นางพรรณีถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงถึงแก่ความตาย
ค. จำเลยบังอาจใช้ปืนสั้นยิงประทุษร้ายนางเช็งคิ้ม แซ่คู ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยได้ใช้ปืนกระบอกดังกล่าวเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถูกบริเวณศีรษะจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๘, ๘๐, ๒๙๕, ๙๑
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนัก
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๘, ๘๐, ๒๙๕ ประกอบด้วยมาตรา ๙๑ ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ฐานฆ่าผู้อื่นสองกระทงและฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นบทหนัก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานโจทก์ โดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งว่า ขณะที่นายสมชาติผู้ตายกับนายสุพจน์ น้องชายจำเลยกำลังทะเลาะวิวาทและต่างคนต่างใช้เท้าเตะถีบกันอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงไปที่นายสมชาติผู้ตาย ๑ นัด กระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงถูกนายสมชาติ ผู้ตายล้มลง จากนั้นจำเลยได้ถืออาวุธปืนพกสั้นกระบอกดังกล่าววิ่งไปหานางพรรณี ผู้ตายอีกคนหนึ่งซึ่งยืนดูอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑ วาเศษ ใช้อาวุธปืนตบตีที่ศีรษะนางพรรณี ๑ ครั้ง และยิงที่บริเวณศีรษะอีก ๑ นัด กระสุนปืนถูกศีรษะนางพรรณีผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยได้วิ่งกลับไปใช้อาวุธปืนยิงซ้ำที่นายสมชาติ ผู้ตายอีก ๒-๓ นัด นางเช็งคิ้มโจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของนางพรรณีและเป็นแม่ยายของนายสมชาติผู้ตายเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีความหวาดกลัวได้วิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุ จำเลยได้วิ่งไล่ติดตามและใช้อาวุธปืนยิงไปที่นางเช็งคิ้มโจทก์ร่วม ๑ นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูก เมื่อนางเช็งคิ้มโจทก์ร่วมล้มลง จำเลยวิ่งไล่ไปทัน จำเลยได้ใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันนั้นตีทำร้ายที่ศีรษะนางเช็งคิ้มโจทก์ร่วมจนเป็นอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บส่วนนางพรรณีกับนายสมชาติผู้ตายได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะพิษบาดแผลอันเกิดจากกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงทำร้าย ดังนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า การกระทำผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีต้องด้วยมาตรา ๙๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว ครั้งเดียวแล้วเกิดผลทำให้คนตาย ๒ คนและบาดเจ็บอีก ๑ คน ซึ่งจะถือว่าเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังเช่นที่จำเลยฎีกากล่าวอ้าง ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๖๖/๒๕๒๑ ที่จำเลยหยิบยกขึ้นเทียบเคียงกับกรณีการกระทำของจำเลยไว้ในฎีกานั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จำเลยจึงชอบที่จะได้รับการลงโทษทุกกรรมอันเป็นกระทงความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share