แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์และค้างชำระราคาอยู่ ต่อมาจำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์มีข้อความว่า “การเก็บบัญชีที่ค้างนั้นมีปัญหาเรื่องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศล่าช้ามาก ทำให้ทางห้างฯ ต้องถูกปรับและเสียหาย กรรมการของห้างฯ ได้ส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากำลังพิจารณาอยู่ ได้ผลประการใดจะเรียนให้ทราบต่อไป” หนังสือฉบับนี้เป็นการยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริง มีข้อโต้เถียงเฉพาะการติดตั้งล่าช้าเท่านั้น ไม่มีข้อโต้แย้งว่าไม่เป็นหนี้ หรือมีสิทธิไม่ต้องชำระหนี้หนังสือนี้จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 293-294/2511)
โจทก์ติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้จำเลยล่าช้าอันเป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ 5รายการเป็นเงิน 91,310 บาท เฉพาะรายการที่ถูกปรับ 28,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย เฉพาะที่จำเลยถูกปรับเพียงรายการเดียวเป็นเงิน 51,903บาท โดยนำคำขอในส่วนอื่นๆที่ศาลได้พิพากษายกฟ้องมาให้แทนในส่วนนี้ ย่อมเป็นการเกินคำขอของจำเลย
เมื่อจำเลยต้องชำระราคาเครื่องปรับอากาศพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ต้องชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย เพื่อความสะดวกในการบังคับตามคำพิพากษา ศาลฎีกาจึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศพร้อมด้วยอุปกรณ์การติดตั้งจากโจทก์ โจทก์ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเสร็จแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 112,500 บาท ขอบังคับจำเลยชำระเงิน 129,375 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ผิดสัญญาโดยติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้เสร็จเกินกำหนดถึง 10 เดือนเศษ เป็นเหตุให้จำเลยถูกกองทัพเรือปรับเป็นเงินประมาณ 28,000 บาท และค่าเสียหายอื่น ๆ อีก 4 รายการ รวมค่าเสียหาย91,310 บาท คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระค่าเสียหาย 91,310 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่เคยสัญญาว่าจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่จำเลยสั่งซื้อให้เสร็จตามกำหนด ในใบสั่งซื้อของจำเลยมิได้ระบุเวลาติดตั้งไว้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาต่อกองทัพเรือเองขอให้ยกฟ้องแย้งและบังคับจำเลยตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเฉพาะที่จำเลยถูกกองทัพเรือปรับตามสัญญาเป็นเงิน 51,903 บาท แก่จำเลยตามฟ้องแย้งพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย 28,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าหนี้รายนี้ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยว่า หนังสือที่จำเลยมีไปถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.8 นั้น เป็นหนังสือรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ เอกสารฉบับนี้มีข้อความว่า “การเก็บบัญชีที่ค้างนั้น มีปัญหาเรื่องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศล่าช้ามาก ทำให้ห้างฯ ต้องถูกปรับและเสียหาย กรรมการของห้างฯ ได้ส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากำลังพิจารณาอยู่ ได้ผลประการใดจะเรียนให้ทราบต่อไป” เห็นว่าหนังสือฉบับนี้เป็นการยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริง มีข้อโต้เถียงเฉพาะการติดตั้งล่าช้าเท่านั้น ไม่มีข้อโต้แย้งว่าไม่เป็นหนี้หรือมีสิทธิไม่ต้องชำระหนี้ หนังสือนี้จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 293 – 294/2511 อายุความเรื่องนี้จึงสะดุดหยุดลงโดยที่หนังสือเอกสารหมาย จ.8 นี้ ลงวันที่ 28 เมษายน 2521 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 28 เมษายน 2523 ภายในกำหนด 2 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาที่ว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ติดตั้งเครื่องปรับอากาศไม่ทันตามกำหนด โจทก์จึงเป็นผู้ผิดสัญญา ข้อฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้รับค่าเสียหายที่ถูกกองทัพเรือปรับ51,903 บาท นั้น จะเป็นการเกินคำขอหรือไม่ จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย5 รายการ รวมเป็นเงิน 91,310 บาท เฉพาะรายการที่ถูกกองทัพเรือปรับเป็นเงินประมาณ 28,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเฉพาะที่จำเลยถูกกองทัพเรือปรับรายการเดียวเป็นเงิน 51,903 บาท คำขออื่น ๆ ให้ยก ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ และจำเลยฎีกาว่าจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย 91,310 บาท รายการค่าปรับเป็นรายการโดยประมาณจึงไม่เกินคำขอนั้น เห็นว่า รายการที่ถูกกองทัพเรือปรับนั้นเป็นรายการที่จำเลยขอมาโดยกำหนดจำนวนแน่นอน เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยขอค่าเสียหายเฉพาะส่วนนี้เพียง 28,000 บาท แล้วศาลจะพิพากษาให้เกินไปกว่านี้โดยนำคำขอในส่วนอื่น ๆ ที่ศาลได้พิพากษายกฟ้องมาให้แทนในส่วนนี้หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอนั้นชอบแล้ว
จำเลยต้องชำระค่าเครื่องปรับอากาศเป็นเงิน 112,500 บาท และดอกเบี้ยก่อนฟ้อง 16,875 บาท กับดอกเบี้ยของต้นเงิน 112,500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ต้องชำระค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน28,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ เพื่อความสะดวกในการบังคับตามคำพิพากษา จึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินนแก่โจทก์ 101,375 บาท และดอกเบี้ยในต้นเงิน 84,500 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ