แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและระงับการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร เศรษฐกิจ และราชการแผ่นดิน คำสั่งต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีออกเพื่อการนี้จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นโมฆะ ไม่ต้องคืนทรัพย์แก่โจทก์ การวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา 17 หรือไม่ อยู่ที่ความเห็นของนายกรัฐมนตรี มิใช่ความเห็นของโจทก์หรือผู้อื่น (อ้างคำพิพากษาฎีกาประชุมใหญ่ที่ 494/2510)
การที่คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นเพื่อทำการสอบสวนต้องพิจารณาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามคำสั่งคณะกรรมการใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้ผู้ร้องนำพยานบุคคลเข้าสืบประกอบเอกสารที่คณะกรรมการรับพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการรวบรัดวินิจฉัยโดยไม่เป็นธรรม การปฏิบัติตามคำสั่งนั้นถือว่าชอบด้วยกฎหมายตามที่มาตรา 17 ตอนท้ายของวรรคแรกบัญญัติไว้
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฯ มาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการดังกล่าวเป็นบทบัญญัติในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการขัดแย้งหรือจะต้องวินิจฉัยตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 22
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 – 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนบางกลุ่มก่อความวุ่นวายถึงขั้นจลาจลเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้คืนสู่สภาพเรียบร้อย โจทก์ได้ลาออกจากตำแหน่ง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากโจทก์อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสอง และออกคำสั่งให้ทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกอายัดหรือยึดไว้ตกเป็นของรัฐ ให้จำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นคณะหนึ่งเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง และเป็นผู้วินิจฉัยคำร้องที่โจทก์ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่ตกเป็นของรัฐได้มาโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ออกคำสั่งดังกล่าวโดยจงใจกลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหายเพื่อเอาทรัพย์สินของโจทก์ เป็นของรัฐโดยมิชอบ ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของมาตรา 17 ขัดแย้งต่อมาตรา 22 นอกจากนั้นยังฝ่าฝืนขัดแย้งต่อข้อกฎหมายและหลักนิติธรรม เป็นโมฆะ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้คืนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 สั่งยึด จำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 9 มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ไม่ยอมให้นำพยานบุคคลเข้าสืบประกอบพยานเอกสาร รวบรัดวินิจฉัยและมีคำสั่งโดยไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สั่งคืนทรัพย์ให้โจทก์เพียงส่วนน้อย ไม่สั่งคืนเป็นส่วนใหญ่ โจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ จำเลยกลั่นแกล้งหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมจ่ายให้ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9ที่ไม่คืนทรัพย์ให้โจทก์เป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้และพิพากษาว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 3 ทั้งหมดนอกจากที่รับคืนแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งของจำเลยที่ 1 สมบูรณ์มีผลใช้บังคับโจทก์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนและแสดงว่าทรัพย์สินตามฟ้องเป็นของโจทก์ไม่ได้ สิทธิรับเงินบำนาญของโจทก์ไม่เกี่ยวกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องปรากฏชัดว่าผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือจำเลยที่ 2 (กระทรวงการคลัง) จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ได้รับฟ้องเฉพาะฟ้องและคำขอที่เกี่ยวกับสิทธิการรับบำนาญไว้พิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว ที่เกี่ยวกับจำเลยอื่นไม่รับฟ้อง และไม่รับฟ้องของโจทก์อื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515มาตรา 17 บัญญัติว่า “ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญการปกครองนี้ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำ อันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์เศรษฐกิจของประเทศหรือราชการแผ่นดิน หรือการกระทำอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้ ไม่ว่าการกระทำจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันประกาศธรรมนูญการปกครองนี้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นว่านั้น รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย” ตามบทบัญญัตินี้ นอกจากเป็นบทบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะออกคำสั่งหรือกระทำการใด ๆ โดยมติของคณะรัฐมนตรีในเมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำนั้น ยังเป็นบทบัญญัติให้นายกรัฐมนตรี มีอำนาจตามกฎหมายที่จะวินิจฉัยพฤติการณ์ที่เห็นสมควรใช้มาตรการที่กำหนดไว้ การจะเห็นสมควรเพียงใดเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีจะวินิจฉัย คำสั่งตามฟ้องของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งและการกระทำที่อยู่ภายในขอบเขตความมุ่งหมายและชอบด้วยมาตรา 17 แล้ว โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่า คำสั่งของจำเลยเป็นโมฆะ และมีคำสั่งแสดงว่าทรัพย์สินตามฟ้องเป็นของโจทก์หาได้ไม่
ตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515บัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 ที่จะออกคำสั่งหรือกระทำการใด ๆโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควร แสดงว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะวินิจฉัยพฤติการณ์ที่เห็นสมควรใช้มาตรการที่กำหนดไว้ การวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา 17 หรือไม่ อยู่ที่ความเห็นของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมติของคณะรัฐมนตรีว่าสมควรต้องมีคำสั่งหรือไม่ มิได้ถือตามความเห็นของผู้อื่นหรือของโจทก์
คำสั่งของจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 ดังกล่าวข้างต้นระบุไว้ชัดว่า ต้องการให้การสอบสวนเรื่องทรัพย์สินที่อายัดไว้แล้วนั้นเสร็จสิ้นโดยเร็ว คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นให้ดำเนินการสอบสวนจึงมีหน้าที่ทำการสอบสวนให้เสร็จไปโดยเร็ว การที่คณะกรรมการไม่ยอมให้นำพยานบุคคลเข้าสืบประกอบเอกสารซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอยู่แล้วนั้น ย่อมอยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการตามที่เห็นสมควร การเร่งรัดให้เสร็จไปโดยเร็วจะถือว่าเป็นการรวบรัดวินิจฉัยโดยไม่เป็นธรรมและเป็นการกลั่นแกล้งนั้นหาถูกต้องไม่ นอกจากนั้นในตอนท้ายของมาตรา 17 วรรคแรก ยังได้บัญญัติยืนยันและรับรองสนับสนุนไว้อย่างชัดแจ้งโดยให้ถือว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการกระทำและการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิฟ้องร้องแก่โจทก์ โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกที่ปฏิบัติตามคำสั่งแต่อย่างใดไม่
ในระหว่างธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ใช้บังคับอยู่นั้นธรรมนูญการปกครองฯ ย่อมเป็นกฎหมายสูงสุด บทกฎหมายใดที่ขัดกับธรรมนูญการปกครองฯ ย่อมจะนำมาใช้บังคับไม่ได้ และมาตรา 22 แห่งธรรมนูญดังกล่าวก็ได้บัญญัติว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ” ฉะนั้น เมื่อคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 จึงไม่เป็นการขัดแย้ง เพราะไม่ใช่กรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองฯ ใช้อันจะต้องวินิจฉัยกรณีไป ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
พิพากษายืน