คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยต่างเมาสุราโต้เถียงทะเลาะกัน จำเลยกลับบ้านเอามีดดาบของกลางมาขู่ผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยโต้เถียงกันอีก แล้วจำเลยถือมีดดาบวิ่งไล่ผู้ตายไปจนถึงบริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งดื่มสุรากัน อ.เข้าไปห้ามจำเลย จำเลยจึงกลับบ้านโดยไม่ได้ฟันผู้ตาย ผู้ตายกลับมานั่งดื่มสุรากับพวกต่อ สักครู่หนึ่งผู้ตายเดินออกไปทางท้ายซอยห่างจากวงสุราประมาณ 10 เมตร และยืนชี้มาทางบ้านจำเลยลักษณะท้าทาย จำเลยโมโหจึงได้ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปหาผู้ตายแล้วใช้มีดดาบฟันผู้ตาย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยหลังจากที่จำเลยใช้มีดดาบของกลางวิ่งไล่ผู้ตายไปจนถึงที่เกิดเหตุและใช้มีดดาบของกลางเล่มเดิมฟันผู้ตาย เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91, 289, 371 และริบอาวุธ มีดดาบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าใช้อาวุธมีดดาบฟันทำร้ายผู้ตายจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 50 บาท รวมจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 50 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบอาวุธมีดดาบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า ผู้ตาย นายนคร นายชาตรีและนายอิทธิพล พักที่หอพักเดียวกันแต่คนละห้อง ในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องก่อนเกิดเหตุผู้ตาย นายนคร นายชาตรี และนายอิทธิพล นั่งดื่มสุรากันอยู่บริเวณหน้าหอพักที่เกิดเหตุ ต่อมาผู้ตายลุกขึ้นเดินไปที่ท้ายซอยซึ่งมีร้านขายของชำของนายอาณัติ ตั้งอยู่ใกล้กันกับบ้านของจำเลย ขณะนั้นจำเลยกับนายอาณัตินั่งดื่มสุรากันอยู่บริเวณหน้าบ้าน ผู้ตายไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายอาณัติ จำเลยซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทเดียวกันกับผู้ตายพูดว่าซอยนี้เป็นซอยสีขาวหมดแล้วไม่มี ผู้ตายกับจำเลยต่างคนต่างเมาสุราจึงโต้เถียงและทะเลาะกัน จำเลยกลับไปที่บ้านเอามีดดาบใบกว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวรวมด้ามประมาณ 2 ฟุต ของกลาง มาขู่ผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยโต้เถียงกันอีก แล้วจำเลยถือมีดดาบวิ่งไล่ผู้ตายไปจนถึงบริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งดื่มสุรากัน นายอิทธิพลได้เข้าไปห้ามจำเลย แล้วจำเลยกลับไปบ้านของจำเลย ส่วนผู้ตายกลับมานั่งดื่มสุรากับพวกต่อไป สักครู่หนึ่งผู้ตายเดินออกไปทางท้ายซอยห่างจากวงสุราประมาณ 10 เมตร ต่อมานายอิทธิพลเดินตามไปพูดคุยกับผู้ตาย สักครู่หนึ่งจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดใกล้จุดที่ผู้ตายกับนายอิทธิพลยืนพูดคุยกัน แล้วจำเลยใช้มีดดาบของกลางฟันผู้ตายที่ศีรษะ ใบหน้าและลำตัวหลายแห่ง จนผู้ตายทรุดตัวลงกับพื้นจำเลยหยุดฟันผู้ตาย จำเลยกับพวกผู้ตายช่วยกันนำผู้ตายขึ้นรถกระบะพาไปส่งโรงพยาบาลโดยจำเลยนั่งประคองผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยใช้มีดดาบของกลาง ซึ่งมีขนาดใหญ่ฟันผู้ตายที่ศีรษะ ใบหน้าและลำตัวจนผู้ตายมีบาดแผลบริเวณลำตัวด้านซ้ายขนาดยาว 15 เซนติเมตร ลึก 5 เซนติเมตร ตัดกล้ามเนื้ออกทะลุเข้าช่องอก บาดแผลต้นแขนขวายาว 10 เซนติเมตร ลึก 2.5 เซนติเมตร ตัดกล้ามเนื้อต้นแขน และบาดแผลที่ข้อพับแขนขวา ยาว 10 เซนติเมตร ลึก 5 เซนติเมตร ตัดกล้ามเนื้อและหลอดเลือด ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ชันสูตรและรายงานการตรวจศพ อันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายหลายครั้งโดยแรง เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย สำหรับความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ถึงที่สุด คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับผู้ตายทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีการเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายมาก่อน ตามพฤติการณ์ของจำเลยตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุที่ผู้ตายเดินไปที่ร้านขายของชำของนายอาณัติเพื่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายอาณัติ จำเลยพูดว่าซอยนี้เป็นซอยสีขาวหมดแล้วไม่มี ผู้ตายกับจำเลยต่างคนต่างเมาสุราโต้เถียงและทะเลาะกัน จำเลยกลับไปที่บ้านเอามีดดาบของกลางมาขู่ผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยโต้เถียงกันอีก แล้วจำเลยถือมีดดาบวิ่งไล่ผู้ตายไปจนถึงบริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งดื่มสุรากัน นายอิทธิพลเข้าไปห้ามจำเลย แล้วจำเลยกลับบ้านไป โดยจำเลยไม่ได้ฟันผู้ตาย ส่วนสาเหตุที่จำเลยใช้มีดดาบของกลางกลับไปฟันผู้ตายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากผู้ตายกลับมานั่งดื่มสุรากับพวกต่อแล้ว สักครู่หนึ่งผู้ตายเดินออกไปทางท้ายซอยห่างจากวงสุราประมาณ 10 เมตร ซึ่งได้ความจากนายชาตรีเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จุดที่นั่งดื่มสุราสามารถมองเห็นบริเวณหน้าร้านขายชำใกล้เคียงบ้านจำเลยได้ และเมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ แล้ว จากจุดเกิดเหตุเข้าไปถึงท้ายซอยไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดปิดบัง สามารถมองเห็นจากจุดเกิดเหตุไปถึงบริเวณท้ายซอยได้เจือสมกับที่จำเลยกล่าวอ้างว่าหลังจากที่จำเลยกลับบ้านไปแล้ว ขณะที่จำเลยเดินอยู่ ผู้ตายได้ยืนชี้มาทางบ้านจำเลยลักษณะท้าทาย จำเลยโมโหจึงได้ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปหาผู้ตายแล้วใช้มีดดาบฟันผู้ตาย และสอดคล้องกับที่นายอาณัติเบิกความว่า หลังจากจำเลยกลับมาบ้านแล้วก่อนที่จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์ออกไปใช้มีดดาบฟันผู้ตาย จำเลยเดินออกไปมองที่บริเวณหน้าบ้านของผู้ตาย กรณีอาจเป็นไปตามที่จำเลยกล่าวอ้างก็ได้ ดังนั้น พฤติการณ์ของจำเลยหลังจากที่จำเลยใช้มีดดาบของกลางวิ่งไล่ผู้ตายไปจนถึงที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ใช้มีดดาบฟันผู้ตาย แล้วจำเลยกลับบ้านไป ต่อมาในระยะเวลาไม่นานจำเลยได้กลับมาที่เกิดเหตุโดยใช้มีดดาบของกลางเล่มเดิมฟันผู้ตาย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน หลังจากฟันผู้ตายจนทรุดลงกับพื้นแล้วจำเลยก็หยุดฟันและจำเลยยังได้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share