คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีขอคืนทรัพย์สินตาม ป.อ. มาตรา 36 ศาลต้องมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินก่อนจึงจะมีคำสั่งในเรื่องของกลางได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเพื่อประโยชน์ของจำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องก่อนที่จะมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางจึงมิชอบ
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องใช้สิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นการใช้สิทธิโดยชอบ และข้อเท็จจริง ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยจึงมีคำพิพากษาให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง ทั้งที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยมิได้พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมิชอบ ดังนี้แม้ข้อเท็จจริง จะฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นความผิดก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว เหตุที่จะพิจารณาคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องย่อมสิ้นไป ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น และยกคำร้องของผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑, ๓๕ พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๗, ๑๑, ๖๙, ๗๓, ๗๔, ๗๔ ทวิ และริบรถยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง ผู้ร้องให้บุคคลอื่นเช่าซื้อรถยนต์ของกลางและยินยอมให้ผู้เช่าซื้อนำไปให้จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อช่วงต่อไป ผู้ร้องมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสี่นำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด นอกจากนี้ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อชำระราคารถยนต์ได้ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงไม่ได้รับความเสียหาย การยื่นคำร้องเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีขอคืนทรัพย์สินตาม ป.อ. มาตรา ๓๖ กฎหมายวางหลักไว้ว่า ศาลต้องมีคำสั่งให้ริบ ทรัพย์สินก่อนจึงจะมีคำสั่งในเรื่องของกลางได้ แต่คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และ พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ นั้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องก่อนที่จะมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางจึงมิชอบ และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยว่า ผู้ร้องใช้สิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นการใช้สิทธิโดยชอบ หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่แล้วมีคำพิพากษากลับให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องทั้งที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโดยมิได้พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ จึงมิชอบเช่นกัน และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำของจำเลยทั้งสี่ ที่โจทก์อ้างว่าเป็นความผิดตามที่โจทก์ฎีกา แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว เหตุที่จะพิจารณาคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องย่อมสิ้นไป ศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาคำร้อง ขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องอีกต่อไป
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและยกคำร้องของผู้ร้อง .

Share