แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ที่จำเลยค้างชำระในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจำนวนนั้น และเมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ผิดนัดชำระหนี้ต้นเงินกู้อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปเป็นจำนวน 500,000 บาทมิได้กำหนดเวลาชำระคืนคิดดอกเบี้ยตามกฎหมายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระในเดือนมีนาคม 2533 จำนวน 7,500 บาท และได้รับชำระหนี้ต้นเงินกู้จำนวน 500,000 บาท จากจำเลยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2533 จำเลยยังคงค้างชำระดอกเบี้ยจำนวน 7,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องเป็นดอกเบี้ยที่ฝ่าฝืนกฎหมายเกินร้อยละสิบห้าต่อปี เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นชี้สองสถาน โจทก์แถลงว่า ดอกเบี้ยที่ฟ้องว่าจำเลยค้างชำระเป็นเงิน 7,500 บาท เป็นค่าดอกเบี้ยเพียง 1 เดือน คือเดือนมีนาคม 2533 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลย ให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,125 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้เพียงใดหรือไม่ เห็นว่าจากคำฟ้องและคำแถลงของโจทก์ในชั้นชี้สองสถานกับคำให้การของจำเลย ได้ความว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยจำนวน 7,500 บาท โดยคิดจากต้นเงินกู้จำนวน 500,000 บาท ในเวลา 1 เดือน ซึ่งเมื่อคิดคำนวณแล้วเป็นการฟ้องเรียกดอกเบี้ยจากต้นเงินกู้ในอัตราร้อยละสิบแปดต่อปี เกินอัตราที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 กำหนดไว้ เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 (113 เดิม) โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละสิบแปดต่อปีคิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน7,500 บาท ดังกล่าวและเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ผิดนัดชำระหนี้ต้นเงินกู้จำนวน 500,000 บาท ให้แก่โจทก์ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินกู้จำนวน 500,000 บาท ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 จึงเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยไม่ว่าเป็นจำนวนเงินเพียงใด
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง