คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3406/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ได้มอบวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์นมข้นหวานจำนำไว้แก่ผู้คัดค้านในวันเดียวกับวันที่บริษัทลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายบริษัทลูกหนี้ย่อมทราบอย่างแน่ชัดแล้วว่าฐานะทางการเงินของบริษัทลูกหนี้ไม่ดีไม่สามารถที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านและบรรดาเจ้าหนี้อื่นได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัทลูกหนี้แล้ว มีเจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวม 51 รายเป็นเงินประมาณ 67 ล้านบาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ได้เพียงที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง1 แปลง ซึ่งมีราคาประมาณ 14 ล้านบาทเท่านั้น การที่บริษัทลูกหนี้จำนำวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์นมข้นหวานไว้แก่ผู้คัดค้าน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เมื่อผู้คัดค้านนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนำมาหักทอนบัญชีลดยอดหนี้และนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของบริษัทลูกหนี้รวมเป็นเงิน 5,462,800 บาท อันเป็นการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านแต่ผู้เดียวนั้นย่อมเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำนั้นเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 และผู้คัดค้านไม่อาจอ้างได้ว่าผู้คัดค้านมีบุริมสิทธิในทรัพย์จำนำนั้น
การที่บริษัทลูกหนี้นำเงินเข้าบัญชีเป็นการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจากบริษัทลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายแล้วซึ่งผู้คัดค้านก็ทราบถึงภาวะการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้เป็นอย่างดีแล้วว่าไม่อาจชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ เป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้นั้นเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช2483 มาตรา 115.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บริษัทลูกหนี้ (จำเลย)ล้มละลายเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2513 ศาลฎีกามีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม2518 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2520 ขณะนี้ยังไม่พ้นภาวะดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องสองฉบับขอให้เพิกถอนการจำนำและการชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านโดยอ้างว่าเป็นการสมยอมกันโดยรู้อยู่ว่าบริษัทลูกหนี้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถจะทำได้ให้ผู้คัดค้านใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เป็นการหักหนี้หรือเลือกชำระหนี้เพื่อให้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ผู้คัดค้านไม่มีหน้าที่ใช้หรือคืนเงินแก่ผู้ร้อง ทั้งคดีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นให้รวมการพิจารณาคำร้องของผู้ร้องทั้งสองฉบับเข้าด้วยกัน แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองฉบับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจำนำและการบังคับจำนำวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตนมข้นหวาน ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้าน ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกระทำได้ให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้ผู้ร้องเป็นเงิน 9,718,998.43 บาท และให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 9159 ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2513 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 รวม 29 รายการเป็นเงิน 957,935.57 บาท ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหากไม่สามารถกระทำได้ ให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้ผู้ร้องเป็นเงิน 957,935.57 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาในชั้นฎีกาข้อแรกมีว่า การจำนำ การบังคับจำนำ และการชำระหนี้ (หักยอดหนี้) ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2523 ระหว่างบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) กับผู้คัดค้านนั้น เป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 ได้หรือไม่ ปรากฏว่าบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ได้มอบวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์นมข้นหวานจำนำไว้แก่ผู้คัดค้าน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2513 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่บริษัทลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายเป็นคดีนี้ ดังนั้นการจำนำดังกล่าวบริษัทลูกหนี้ย่อมทราบเป็นอย่างแน่ชัดแล้วว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทลูกหนี้ไม่ดี ไม่สามารถที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านและบรรดาเจ้าหนี้อื่นได้ ตามรายงานการประชุมกรรมการครั้งที่ 12/2513 ของบริษัทลูกหนี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2513 ซึ่งผู้คัดค้านก็ทราบถึงฐานะทางการเงินของบริษัทลูกหนี้เป็นอย่างดีแล้วว่าบริษัทลูกหนี้ไม่สามารถจะชำระหนี้สินให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ทั้งนี้เพราะผู้คัดค้านก็ได้เข้าไปดำเนินกิจการในบริษัทลูกหนี้เองโดยส่งเจ้าหน้าที่ของผู้คัดค้านเข้าเป็นประธานกรรมการ กรรมการบริหาร สมุห์บัญชี และเป็นผู้ควบคุมสต๊อกสินค้าวัตถุดิบและอื่นๆ ในบริษัทลูกหนี้ รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย ร.42 ถึง ร.46 และเมื่อพิจารณาจากการ์ดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย ค.4 โดยตลอดแล้วแสดงว่า บริษัทลูกหนี้เป็นลูกหนี้ผู้คัดค้านมาโดยตลอด ไม่เคยอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ผู้คัดค้านเลยคดีล้มละลายคดีนี้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัทลูกหนี้แล้ว มีเจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวม 51 ราย เป็นเงินประมาณ 67 ล้านบาทเศษแต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ได้เพียงที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 1 แปลง ซึ่งมีราคาประมาณ 14 ล้านบาทเศษเท่านั้น ฉะนั้นการที่บริษัทลูกหนี้จำนำวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์นมข้นหวานไว้แก่ผู้คัดค้าน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เมื่อผู้คัดค้านนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนำมาหักทอนบัญชีลดยอดหนี้และนำยอดเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของบริษัทลูกหนี้ในวันที่ 15 มิถุนายน 2513 จำนวน 1.067, 600 บาท 1,195,200 บาท และวันที่ 22 มิถุนายน 2513 จำนวน 3,200,000 บาท รวมยอดเงินทั้งสิ้น 5,462,800 บาท อันเป็นการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านแต่ผู้เดียวนั้น ย่อมเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำนั้นเสียได้ตามพระราชบัญญติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115 ผู้คัดค้านไม่อาจอ้างได้ว่าผู้คัดค้านมีบุริมสิทธิในทรัพย์จำนำแต่ประการใด
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า การชำระหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันเลขที่9159 ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2513 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2514รวม 29 รายการเป็นเงิน 957,935.57 บาท ตามคำร้องลงวันที่ 23มิถุนายน 2523 ระหว่างบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) กับธนาคารผู้คัดค้านนั้น เป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 ได้หรือไม่ ปรากฏว่าบริษัทลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2513 ดังนั้น การที่บริษัทลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2513 ถึงวันที่ 29ธันวาคม 2514 จึงเป็นการกระทำภายหลังจากบริษัทลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายแล้วซึ่งผู้คัดค้านก็ทราบถึงภาวะการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้เป็นอย่างดีแล้วว่า ไม่อาจชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้คัดค้านได้ส่งเจ้าหน้าที่ของผู้คัดค้านเข้าไปควบคุมบริหารกิจการของบริษัทลูกหนี้ตั้งแต่วันที่บริษัทลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลายคดีนี้ ฉะนั้นการที่บริษัทลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านดังกล่าว จึงเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้นั้นเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115
พิพากษายืน.

Share