คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7511/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างของจำเลย ได้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดถึง 2 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เข้าประมูลราคา เนื่องจากเป็นถนนส่วนบุคคล อีกทั้งตามราคาประเมินของที่ดินดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ของจำเลยโดยสิ้นเชิงได้ และไม่ปรากฎว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นอีก จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องไม่อาจเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 290 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีของผู้ร้องที่ 2 ตรวจพบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวยซึ่งประกอบกิจการประเภทภัตตาคารได้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2519 ถึงปี 2521 ไม่ครบถ้วน จึงได้แจ้งการประเมินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวย ชำระเงินค่าภาษีและเงินเพิ่มสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวยอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดภาษีและเงินเพิ่มบางส่วน คงเหลือภาษีที่ต้องชำระเป็นเงินรวม 528,218.08 บาท ซึ่งจำเลยได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 264 มาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวนอกจากนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวย ยังเป็นหนี้ภาษีอากรค้างสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีประจำปี 2527 และปี 2528 อีกจำนวน 2,320,040.56 บาทจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวยในระหว่างเวลาที่เกิดหนี้ภาษีทั้งหมดจึงต้องร่วมรับผิดต่อผู้ร้อง สำหรับที่ดินที่จำเลยนำมาจำนองเป็นประกันให้แก่ผู้ร้องนั้นขายไม่ได้เพราะไม่มีผู้ใดเข้าสู้ราคา จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวยไม่มีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องบังคับชำระหนี้ จึงขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีนี้
จำเลยคัดค้านว่า ที่ดินที่จำเลยจำนองให้แก่ผู้ร้องมีราคาคุ้มหนี้ภาษีของปี 2519 ถึงปี 2521 จำนวน 528,218.08 บาทส่วนหนี้ภาษีของปี 2527 ถึงปี 2529 ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสวยได้ชำระค่าภาษีในระหว่างปีดังกล่าวถูกต้องแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ของผู้ร้องเป็นหนี้ที่ไม่แน่นอนเพราะจำเลยยังโต้แย้งการประเมินของผู้ร้องอยู่ ทั้งยังมีที่ดินของจำเลยเป็นประกันซึ่งมีราคาคุ้มหนี้ของผู้ร้องทั้งสอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2เข้าเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีนี้ในจำนวนหนี้ 2,160,040.56 บาทส่วนผู้ร้องที่ 1 ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามที่จำเลยฎีกามีว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้าเฉลี่ยทรัพย์คดีนี้เพราะผู้ร้องยึดที่ดินของจำเลยซึ่งมีราคาคุ้มกับหนี้ที่ค้างชำระสามารถนำออกขายทอดตลาดได้ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยังคงค้างชำระหนี้ผู้ร้องอยู่จำนวนสองล้านบาทเศษ และผู้ร้องได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 264 ของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ 2 ครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดเข้าสู้ราคาเพราะที่ดินมีสภาพเป็นถนนส่วนบุคคล เห็นว่า การที่ผู้ร้องได้นำที่ดินซึ่งจำเลยนำไปจำนองออกขายทอดตลาดถึง 2 ครั้ง แต่ไม่อาจขายได้ เพราะไม่มีผู้ใดสนใจเข้าประมูลราคาเนื่องจากเป็นถนนส่วนบุคคล อีกทั้งที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่ 1 งาน 18 ตารางวามีราคาประเมินเพียง 706,628 บาท ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ของจำเลยโดยสิ้นเชิงได้ และไม่ปรากฎว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นอีกจึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องไม่อาจเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสองศาลล่างทั้งสองอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 เข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share