คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3386/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นบุตรและเป็นผู้จัดการดูแลเก็บผลประโยชน์จากอาคารตลาดซึ่งเป็นทรัพย์สินของเจ้ามรดก จึงอยู่ในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกของเจ้ามรดกและเป็นผู้ได้เข้าไปจัดการมรดกด้วย จำเลยต้องรับทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดในกองมรดกของเจ้ามรดกนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ให้เจ้ามรดกอาศัยปลูกสร้างอาคารตลาดประสงค์จะเอาที่พิพาทของตนคืน ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
กรณีดังกล่าวจะนำอายุความมรดก 1 ปีตามมาตรา 1754 มาใช้บังคับหาได้ไม่เพราะมิใช่เรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับมรดก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงซึ่งนางเอื้อนมารดาจำเลยได้ขออาศัยปลูกสร้างอาคารชั่วคราวทำเป็นตลาดเก็บค่าเช่า ต่อมานางเอื้อนตายโจทก์ได้บอกกล่าวจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางเอื้อนให้รื้อถอนอาคารตลาดแต่จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามจึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้ใช้ค่าเสียหาย ๖,๐๐๐ บาทและค่าเสียหายอีกเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๒ จนกว่าจำเลยจะรื้ออาคารออกไป
จำเลยให้การว่า บิดาจำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยสงบเปิดเผย ตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว นางเอื้อนไม่เคยขออาศัยที่ดินโจทก์ จำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกนางเอื้อนนางเอื้อนตายมาเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนอาคารตลาดออกไปจากที่พิพาทห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนอาคารออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๙๙ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นบุตรและเป็นผู้ดูแลจัดการเก็บผลประโยชน์จากอาคารตลาดซึ่งเป็นทรัพย์สินอันเป็นมรดกของนางเอื้อนเจ้ามรดก จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นทายาทและเป็นผู้รับมรดกของเจ้ามรดกจำเลยเป็นผู้จัดการดูแลเก็บผลประโยชน์จากอาคารตลาดนั้น ย่อมจะถือได้ว่าจำเลยได้เข้าไปจัดการมรดกของเจ้ามรดกดังกล่าวด้วย จำเลยต้องรับทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดในกองมรดกของเจ้ามรดกนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๐ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทประสงค์จะเอาที่พิพาทของตนคืน ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่นางเอื้อนตายฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่ากรณีตามข้ออ้างของจำเลยเป็นเรื่องของการฟ้องร้องเกี่ยวกับมรดก ที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับซึ่งเป็นคนละอย่างต่างกับกรณีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share