แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาทำความเสียหายในที่ดินของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์และบุกรุก กับพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เมื่อศาลพิพากษาในคดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทและลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่า โจทก์ครอบครองนาที่พิพาทจำเลยบุกรุกเข้ามาทำความเสียหายในที่ดินพิพาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๓ และขอให้พิพากษาว่านาที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องคดีอาญาและรับฟ้องคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่า ที่ดินที่จำเลยเข้าไปนั้นเป็นที่ของจำเลย จำเลยไม่ได้บุกรุก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยบุกรุกเข้าไปหาความถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๘ ปรับ ๕๐๐ บาท ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนอาญาและแพ่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยในคดีส่วนอาญาเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม คดีส่วนอาญาจึงถึงที่สุด สำหรับคดีส่วนแพ่งพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาเฉพาะส่วนแพ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ เมื่อคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นอันยุติถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทและจำเลยได้นำรถแทรกเตอร์เข้าไปบุกรุกไถในที่ของโจทก์ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยก็ย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่ เป็นการฝ่าฝืนข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว
พิพากษายืน