คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3373/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถ 5 คันขับตามกันมาในทิศทางเดียวกัน ธ.เป็นผู้ขับรถคันที่ 4 ซึ่งเป็นคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ 5 แล่นตามมา ธ. ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังหยุดรถไม่ทัน เป็นเหตุให้ไปชนรถคันที่ 3 ที่แล่นนำหน้าอยู่ และเป็นผลทำให้จำเลยที่ขับรถคันที่ 5 ตามมาด้วยความประมาทเช่นกัน หยุดรถไม่ทัน จึงชนท้ายรถคันที่ 4 อักคันหนึ่ง กรณีเช่นนี้ ธ. ผู้ขับรถคันที่ 4ไม่ได้มีส่วนร่วมทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ตนขับแต่ประการใดดังนั้น ค่าเสียหายที่รถคันที่ 4 จะได้รับจากการที่ถูกรถคันที่ 5 ชน จะพิจารณาโดยอาศัยพฤติการณ์ที่ ธ. ผู้ขับรถคันที่ 4 ไปกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ 3 โดยถือว่า ธ.หรือจำเลยผู้ใดเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด ย่อมไม่ได้ ความเสียหายที่รถคันที่ 4 ได้รับ ต้องถือว่าเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยผู้ขับรถคันที่ 5 แต่เพียงฝ่ายเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถเก๋งส่วนบุคคลด้วยความเร็วสูงและประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้ชนท้ายรถคันหน้าซึ่งเป็นรถเก๋งส่วนบุคคล ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหาย ต้องซ่อมเป็นเงินจำนวน ๔๓,๙๘๐ บาท โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระในส่วนที่จำเลยทำให้เสียหายเป็นเงินจำนวน ๓๑,๔๗๕ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ยอมชำระ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๓๒,๙๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจำนวน๓๑,๔๗๕ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขับรถตามรถคันที่โจทก์รับประกันภัยซึ่งแล่นตามรถคันหน้ากันไปจนถึงที่เกิดเหตุ รถคันที่โจทก์รับประกันภัยซึ่งแล่นตามรถคันหน้าหยุดรถกะทันหันโดยประมาท เป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงชนท้ายรถคันที่โจทก์รับประกันภัยหลังจากเกิดอุบัติเหตุรถชนกันแล้ว ผู้ครอบครองรถคันที่โจทก์รับประกันภัยและผู้แทนของโจทก์ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๑,๖๑๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุมีรถบรรทุกแล่นนำหน้า รถเก๋งส่วนบุคคลแล่นตาม ๒ คัน รถแท็กซี่แล่นตาม ๑ คัน รถเก๋งส่วนบุคคลแล่นตามเป็นคันที่ ๔ โดยมีนายธำรงเป็นผู้ขับ รถบรรทุกที่แล่นนำหน้าได้ห้ามล้อกะทันหัน รถเก๋งส่วนบุคคลที่แล่นตาม ๒ คันหยุดรถไม่ทันจึงเกิดชนกันขึ้นโดยคันที่ ๒ ชนท้ายคันที่ ๑ รถแท็กซี่หยุดรถไม่ทัน จึงชนท้ายรถเก๋งที่ชนกันอยู่แล้ว และรถเก๋งส่วนบุคคลคันที่ ๔ ที่นายธำรงเป็นคนขับและเป็นคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้หยุดรถไม่ทันจึงไปชนท้ายรถแท็กซี่คันที่ ๓ หลังจากนั้นรถเก๋งส่วนบุคคลคันที่ ๕ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับตามหลังรถคันที่ ๔ หยุดรถไม่ทันอีกเช่นเดียวกัน จึงชนท้ายรถคันที่ ๔ ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย และวินิจฉัยว่าที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อรถคันที่ ๔ ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้แม้ว่าคนขับคือนายธำรงจะขับโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง หยุดรถไม่ทันเป็นเหตุให้ไปชนรถแท็กซี่คันที่ ๓ อยู่แล้ว แต่การที่รถคันที่ ๕ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับจะขับโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังอีกเช่นเดียวกันเป็นเหตุให้หยุดรถไม่ได้ จึงชนท้ายรถคันที่ ๔ ซึ่งโจทก์รับประกันภัยต้องเสียหายด้วยนั้น ถือได้ว่าความเสียหายของรถคันที่ ๔ ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเพราะผู้ขับรถทั้ง ๒ คัน คือคันที่ ๔ และคันที่ ๕ต่างขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังทั้งคู่ และเป็นการประมาทเลินเล่อมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งเท่ากับทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายเท่า ๆ กัน ค่าเสียหายจึงเป็นพับกันไปจำเลยผู้ขับรถคันที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเห็นว่า ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถคันที่ ๔ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ที่ไปชนท้ายรถคันที่ ๓ ได้รับความเสียหาย ย่อมเป็นความผิดของคนขับรถคันที่ ๔ ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ตนก่อให้เกิดขึ้นนั้น เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากการที่รถคันที่ ๕ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับโดยประมาทไปชนท้ายรถคันที่ ๔ ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ผู้ขับขี่รถคันที่ ๔ ไม่ได้มีส่วนร่วมทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ ๔ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ดังนั้น ค่าเสียหายที่รถคันที่ ๔ ได้รับ จะนำไปอาศัยพฤติการณ์ที่ผู้ขับรถคันที่ ๔ ไปกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ ๓ มารวมพิจารณาว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรนั้น ย่อมไม่ได้ ความเสียหายที่รถคันที่ ๔ ได้รับจะต้องถือว่าเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยผู้ขับรถคันที่ ๕ แต่เพียงฝ่ายเดียว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share