แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาทโดยเจ้าของกรรมสิทธิ์พิพาทอนุญาตให้จำเลยอยู่อาศัย แม้จำเลยจะอยู่เรื่อยมาโดยไม่มี ผู้ใดโต้แย้งนั้นถือได้ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของ แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจำเลยได้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว และบางส่วนรุกล้ำที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ทั้งสามกีดขวางทางขึ้นลงสู่คลองสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2516 เนื้อที่ 150 ตารางวา ต่อมาโจทก์ทั้งสามไม่ต้องการให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไป และได้บอกกล่าวให้ขนย้ายออกไปตั้งแต่ปี 2527 จำเลยได้ขอผัดผ่อนเรื่อยมา แต่จำเลยก็เพิกเฉยทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย ขอศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารและให้รื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4818 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี และทำที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยตามเดิม ให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสามด้วย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินและชายตลิ่งหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสามเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในที่พิพาทแต่จำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 21 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 4818ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานีพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 300 บาท นับแต่วันที่ 15เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกไป และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประเด็นเดียวว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่เห็นว่า จำเลยไม่ใช่ลูกหลานของนางสาวบุญมาเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทคนเดิม จำเลยเคยมาอยู่อาศัยกับนางสาวบุญมา และนางสาวบุญมาได้ให้ความอุปการะแก่จำเลยโดยเป็นเจ้าภาพอุปสมบทให้จำเลย เมื่อจำเลยสึกออกมาก็มาอาศัยอยู่กับนางสาวบุญมาอีก ตอนที่จำเลยทำการสมรส นางสาวบุญมาก็เป็นเจ้าภาพจัดพิธีให้ การที่นางสาวบุญมาให้ความช่วยเหลือจำเลยดังกล่าวก็ด้วยความเมตตามิใช่เลี้ยงดูจำเลยในฐานะบุตรเพราะมิได้จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและนางสาวบุญมาได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า จำเลยเป็นลูกจ้างทำนาให้แก่นางสาวบุญมาเท่านั้นเมื่อจำเลยแต่งงานกับภรรยาคนอรก จำเลยได้ออกไปอยู่กับภรรยาที่อำเภอคลองหลวง จนกระทั่งจำเลยหย่ากับภรรยาคนแรกก็ได้กลับมาขออาศัยอยู่กับนางสาวบุญมาอีก และเมื่อจำเลยแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันจึงได้ขออาศัยปลูกบ้านอยู่ตรงที่พิพาท นางสาวบุญมากับเจ้าของร่วมคนอื่นก็ได้อนุญาต ดังนี้ หากนางสาวบุญมามีความประสงค์จะยกที่พิพาทให้จำเลยจริงก็ต้องแจ้งให้เจ้าของร่วมคนอื่นทราบและนางสาวบุญมาคงจะไม่โอนขายที่พิพาทส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1ข้ออ้างของจำเลยที่ว่านางสาวบุญมาได้ยกที่พิพาทให้จำเลยคงมีจำเลยปากเดียวเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนและขัดกับคำเบิกความของนางสาวบุญมา พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังการที่จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาทและได้อาศัยอยู่เรื่อยมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านก็เพราะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทอนุญาตให้จำเลยอยู่อาศัย และถือว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของ แม้จำเลยจะครอบครองนานเท่าใดก็ได้กรรมสิทธิ์ จำเลยเพิ่งมาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ตอนที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยและแจ้งให้จำเลยขนย้ายออกไป ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.