แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและมีตำแหน่งเป็นกรรมการจัดการบริษัทจำเลยนั้น แม้โจทก์จะได้รับตำแหน่งด้วยการเลือกจากผู้ถือหุ้น และต้องอยู่ในตำแหน่งตามวาระที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่ตำแหน่งของโจทก์คือผู้บริหารงานของบริษัทซึ่งมีรายได้เป็นเงินเดือนหรือที่เรียกว่าค่าตอบแทนรายเดือนและโจทก์ก็ยังมีสิทธิและหน้าที่ในสวัสดิการของบริษัทเช่นเดียวกับพนักงานอื่นอีกด้วย ดังนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ที่ได้ตกลงทำงานให้แก่บริษัทเพื่อรับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนรายเดือน อันนับได้ว่าเป็นลูกจ้างตามความหมายในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
การรอการจ่ายเงินประกันหรือเงินสะสมไว้ก่อน โดยคาดคะเนหรือสันนิษฐานว่าโจทก์และภรรยาอาจสมคบกันเบียดบังเงินของจำเลยไปทำให้จำเลยเสียหาย โดยที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะยก ขึ้นอ้างได้ หากจำเลยเสียหายจริงก็อาจไปว่ากล่าวกัน เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก จำเลยจึงต้องคืนเงินดังกล่าว ให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ทำหน้าที่กรรมการจัดการ ต่อมาโจทก์ลาออกจากบริษัทจำเลย และได้ทวงถามค่าเดินทางไปต่างประเทศค่าน้ำมันรถประจำตำแหน่งค่าเลี้ยงรับรองแขก และเงินสะสมซึ่งจำเลยหักเงินเดือนโจทก์ไว้และจำเลยจะต้องออกเพิ่มให้ส่วนหนึ่ง แต่จำเลยไม่ชำระให้ ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่า ไม่เคยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง โจทก์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการจัดการของบริษัทจำเลยจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เงินค่าตอบแทนในหน้าที่ของโจทก์ไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันรถ ค่าเลี้ยงรับรองแขกและค่าเดินทางไปต่างประเทศให้โจทก์ เพราะไม่มีระเบียบในการเบิกจ่ายและจำเลยไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เดินทางไปต่างประเทศ โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทั้งยังได้สมคบกับภรรยาเบียดบังทรัพย์สินและผลประโยชน์ของบริษัทจำเลย ทำให้บริษัทจำเลยเสียหายจึงต้องรอการจ่ายเงินประกันของโจทก์ไว้เพื่อจะได้หักกลบลบหนี้กับจำเลย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยโจทก์ไม่มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศและค่าเลี้ยงรับรองแขกคงมีสิทธิได้รับเฉพาะค่าน้ำมันรถประจำตำแหน่งกับเงินสะสม ส่วนดอกเบี้ยของจำนวนเงินดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ เห็นสมควรให้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป พิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่วินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า บริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการจัดการบริษัท แม้การได้รับตำแหน่งของโจทก์จะเป็นการรับเลือกจากผู้ถือหุ้นและต้องอยู่ในตำแหน่งตามวาระที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่ตำแหน่งนี้มีหน้าที่เป็นผู้บริหารงานรวมถึงการจัดการของบริษัทนั่นเอง โจทก์มีรายได้เป็นเงินเดือนบริษัทมีระเบียบให้หักเงินเดือนของพนักงานไว้เป็นเงินสะสม เมื่อพนักงานผู้ใดออกจากงานบริษัทจะจ่ายเงินสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง กรณีโจทก์ก็เช่นเดียวกันนอกจากนั้นโจทก์ยังมีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลตลอดจนค่าเช่าบ้านเช่นเดียวกับพนักงานคนอื่น ๆ พฤติการณ์เช่นว่านี้แสดงให้เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ที่ได้ตกลงทำงานให้แก่บริษัทเพื่อรับค่าจ้างหรือเงินเดือน เงินเดือนที่ได้รับหรือที่จำเลยเรียกว่าค่าตอบแทนรายเดือน ก็เป็นค่าตอบแทนในการทำงานหรือเป็นค่าจ้างนั่นเอง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตามความหมายในกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และภรรยาอาจสมคบกันเบียดบังเงินผลประโยชน์ของจำเลยไป ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงต้องรอการจ่ายเงินประกันหรือเงินสะสมไว้นั้น เป็นเพียงการคาดคะเนหรือสันนิษฐานเอาเท่านั้นยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น หากจำเลยได้รับความเสียหายจริงก็อาจไปว่ากล่าวกันเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินของโจทก์ จำเลยก็ต้องคืนให้โจทก์ไม่มีเหตุอะไรที่จำเลยจะไม่จ่ายคืนเงินจำนวนนี้
ส่วนอุทธรณ์จำเลยเรื่องใบเสร็จค่าน้ำมันรถประจำตำแหน่งเป็นอุทธรณ์ที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ กับอุทธรณ์โจทก์เรื่องค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศและค่ารับรองแขกเป็นข้ออุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน