คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โรงเรือนที่โดยสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าเจ้าของยกให้โดยให้รื้อถอนไปจากที่ดินผู้รับจึงรื้อถอนไปนั้นสภาพของเรือนตอนที่ถูกรื้อโดยคำสั่งของผู้ให้นี้ ไม่อยู่ในลักษณะที่จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่อไป แต่ได้กลายสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์แล้วแต่บัดนั้น การยกให้แม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนก็ย่อมสมบูรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุตรเขยได้พาพวกมารื้อถอนเรือนหลังหนึ่งของโจทก์ ไปโดยไม่มีอำนาจ ขอให้จำเลยใช้ราคา

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ยกเรือนหลังพิพาทให้ภรรยาและจำเลยในวันทำการสมรส แล้วจำเลยได้ดัดแปลงต่อเติมเรือนหลังนี้ใหม่ภายหลังโจทก์ไล่จำเลยและภรรยา กับให้รื้อเรือนหลังนี้ไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยจึงรื้อไป และจำเลยแถลงรับว่า การยกให้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและไม่ได้จดทะเบียน

ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาเรือน 4,000 บาท แก่โจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โดยสภาพของเรือนรายพิพาทในชั้นแรกเป็นอสังหาริมทรัพย์ เพราะปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า โจทก์ยกให้โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายก็ตาม แต่ถ้าปรากฏในชั้นหลังว่าโจทก์ได้ไล่ให้จำเลยรื้อเรือนรายนี้ไปจากที่ดินของโจทก์ ทั้งจำเลยก็ได้รื้อเรือนไปตามความประสงค์ของโจทก์แล้วก็เป็นการแสดงว่าโจทก์ได้ยืนยันในการที่ได้ยกเรือนรายพิพาทให้แก่จำเลยตลอดมา สภาพของเรือนตอนที่ถูกรื้อโดยคำสั่งของโจทก์นี้ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่อไป และได้กลายสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์แล้วแต่บัดนั้น จำเลยจึงมีทางได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลจึงควรต้องสืบพยานตามข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share