แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องเอาโทษ แต่การชำระค่าสินบนตามมาตรา 3 พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัดแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2477 ไม่ใช่โทษ ทั้งเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินค่าสินบนขึ้นโดยเฉพาะหาอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 39 ไม่ จึงไม่ทำให้พนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินบนในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 แห่งเงินค่าปรับ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จับ ผู้นำจับ หรือแจ้งความจับเท่านั้นที่จะร้องขอต่อศาลได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ทำการค้า ได้บังอาจใช้เครื่องชั่งที่ไม่ถูกต้องตามความประสงค์ทุกประการของพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ.๒๔๖๖ มาใช้ทำการค้าปลา ทำให้ผู้ซื้อเสียเปรียบเพื่อเอาเปรียบทางการค้าของจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ.๒๔๖๖ มาตรา ๓, ๑๒, ๓๑ พระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ.๒๔๖๖ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๐ ริบของกลาง และให้จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๐ ซึ่งเป็นบทหนักลดรับสารภาพตามมาตรา ๗๘ ให้กึ่งหนึ่งแล้วจำคุก ๓ เดือนและปรับ ๕๐๐ บาท ของกลางริบ ให้จำเลยจ่ายเงินค่าสินบนนำจับตามกฎหมายร้อยละ ๒๐ ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษจำคุก ส่วนเรื่องค่าสินบนเห็นว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการฟ้องเรียกให้แก่ผู้นำจับได้ จึงให้ยกคำขอข้อนี้
โจทก์ฎีกา
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ.๒๔๖๖ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๓ นั้น พนักงานอัยการจะมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งจำเลยจ่ายเงินค่าสินบนแก่ผู้จับหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามาตรา ๓ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙,๓๐,๓๑,๓๒,๓๓,๓๔,๓๕ และ ๓๖ และได้ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษท่านว่าผู้กระทำผิดนั้น ๆ จะต้องชำระเงินค่าสินบนให้แก่ผู้จับ นำจับ หรือนำความมาแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๐ แห่งเงินค่าปรับเว้นแต่ศาลจะเห็นสมควร” บทบัญญัติดังกล่าวนี้กำหนดให้จำเลยผู้กระทำความผิดต่อมาตราต่าง ๆ ดังที่ระบุไว้นั้น เมื่อถูกศาลพิพากษาลงโทษจะต้องถูกผูกพันจ่ายค่าสินบนแก่ผู้จับ ผู้นำจับ หรือนำความแจ้งจับด้วยแต่มิได้มีข้อความตอนใดให้อำนาจแก่พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลสั่งจำเลยจ่ายเงินค่าสินบน เลย ที่โจทก์อ้างว่ามาตรา ๓ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ.๒๔๖๖ ย่อมต้องอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๓๙ ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานของกรมอัยการฟ้องผู้กระทำผิดก็ย่อมมีหน้าที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินค่าสินบนด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ามาตรา ๓๙ เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องเอาโทษ แต่การชำระเงินค่าสินบนตามมาตรา ๓ ไม่ใช่โทษ ทั้งเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินค่าสินบนขึ้นโดยเฉพาะ หาอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๓๙ ไม่จึงไม่ทำให้พนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินบนในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๐ แห่งเงินค่าปรับย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จับ ผู้นำจับ หรือแจ้งความจับเท่านั้น ที่จะร้องขอต่อศาลได้
พิพากษายืน