แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อผู้ให้เช่าซื้อไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่าซื้อก็ตามแต่ผู้ให้เช่าซื้อก็อาจปฏิบัติการชำระหนี้ดังกล่าวให้เป็นไปตามสัญญาเช่าซื้อได้ หรือหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อก็เป็นกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งจะต้องรับผิดต่อไปดังนั้น ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์หรือไม่นั้นไม่ทำให้ความสมบูรณ์แห่งสัญญาเช่าซื้อเสียไป สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 4 เป็นต้นมา ตามคำฟ้องดังกล่าวสาระสำคัญอยู่ที่ว่าทำสัญญากันเมื่อใด และจำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด อันเป็นมูลเหตุที่ทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยทั้งสองรับผิด เมื่อโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาในระหว่างที่สัญญายังไม่เกิด จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมขัดกันไม่อาจเข้าใจได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกกันชำระมิได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยจำเลยที่ 2 ถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะมิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 59(1) จึงต้องถือว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะยี่ห้อดัทสัน หมายเลขทะเบียน 5 ร – 8329 กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระตั้งแต่งวดที่ 4โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถยนต์ให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์ออกให้เช่า ในอัตราเดือนละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 87,003 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 325,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือชำระราคาแทนเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 412,003 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น โจทก์จึงไม่มีสิทธินำรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อได้ตามกฎหมายจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “อันว่าเช่าซื้อนั้นคือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิของผู้เช่าโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว” ตามบทบัญญัตินี้ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้เช่าซื้อเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้เช่าซื้อโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวจนครบ หน้าที่ของผู้ให้เช่าจึงอยู่ที่ว่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อครบแล้ว ส่วนหน้าที่ของผู้เช่าซื้อคือการชำระเงินค่าเช่าซื้อ หน้าที่ของผู้ให้เช่าซื้อที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อจนครบแล้ว อันเป็นส่วนสำคัญของสัญญาเช่าซื้อนี้เป็นหนี้ที่ฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อจะต้องปฏิบัติตามสัญญา หนี้ทั้งสองประการนี้แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อผู้ให้เช่าซื้อไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่าซื้อก็ตาม แต่ผู้ให้เช่าซื้อก็อาจปฏิบัติการชำระหนี้ดังกล่าวให้เป็นไปตามสัญญาเช่าซื้อได้ หรือหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อก็เป็นกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งจะต้องรับผิดต่อไป ดังนั้นในขณะทำสัญญาเช่าซื้อผู้ให้เช่าซื้อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่นั้น ไม่ทำให้ความสมบูรณ์แห่งสัญญาเช่าซื้อเสียไปสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับได้ตามกฎหมาย จึงไม่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า บริษัทพระนครยนตรการ จำกัดประมูลรถยนต์ได้เป็นบริษัทในเครือของโจทก์ และความจริงรถยนต์เป็นของโจทก์หรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อดังที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่งเมื่อฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง จึงมีปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวพิจารณาได้จากคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกซึ่งจะทำให้คดีล่าช้า ปัญหานี้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองบัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์โดยบรรยายฟ้องว่าทำสัญญาเช่าซื้อเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2533 เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 พฤษภาคม 2533 โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าหลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 4 ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ 5 สิงหาคม 2533 เป็นต้นมา ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวสาระสำคัญจึงอยู่ที่ว่าทำสัญญากันเมื่อใดและจำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด อันเป็นมูลเหตุที่ทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยทั้งสองรับผิด เมื่อข้อที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาอยู่ในระหว่างที่สัญญายังไม่เกิด จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมขัดกันไม่อาจเข้าใจได้ตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าผลของการวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ ปัญหาในข้อนี้แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ได้ยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยด้วยว่าไม่มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกกันชำระมิได้แม้จำเลยที่ 1มิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยจำเลยที่ 2 ถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะมิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) จึงต้องถือว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน