แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกันก่อนเกิดเหตุประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วจำเลยถือมีดปลายแหลมตามไปจะทำร้ายผู้เสียหายผู้เสียหายได้ใช้โช้กอัพรถจักรยานยนต์ตีจำเลยแต่ไม่ถูก จำเลยจึงเข้าประชิดตัวและใช้มีดแทงผู้เสียหาย 2 ครั้ง ถูกที่ต้นแขนขวาและที่ชายโครงขวาทะลุเข้าทรวงอกมีบาดแผลขนาด 12x3x2 เซนติเมตร และ6x2x3 เซนติเมตร ตามลำดับ เป็นการแทงโดยกะทันหันในเวลากลางคืน โดยจำเลยแทงสุ่มไปไม่มีโอกาสเลือกได้ว่า จะแทงส่วนไหนของร่างกายพฤติการณ์ดังกล่าวประกอบบาดแผลยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมแทงนายบุญมี ไกรเนตรโดยเจตนาฆ่า แต่นายบุญมีไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80และริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ริบมีดของกลางจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529 เวลาประมาณ 20 นาฬิกาเศษจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายบุญมี ไกรเนตร ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ต่อมาในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุพนักงานสอบสวนยึดปลอกมีดสำหรับมีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายและยึดเหล็กโช้กอัพรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายใช้ตีจำเลยจากบริเวณที่เกิดเหตุเป็นของกลาง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานคือตัวผู้เสียหายและนายพันไกรเนตร บุตรชายผู้เสียหายมาเบิกความยืนยันว่า ผู้เสียหายให้นายพันขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งมีที่นั่งพ่วงข้างรถพาผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางได้หยุดรถเพื่อปัสสาวะ ขณะนั้นจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ตามมาจอดใกล้รถของผู้เสียหายแล้วลงจากรถและเดินถือมีดตรงมายังผู้เสียหายในลักษณะที่จะทำร้ายผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงใช้เหล็กโช้กอัพรถจักรยานยนต์ตีจำเลยเพื่อป้องกันตัว แต่ไม่ถูกจำเลยเข้าถึงตัวผู้เสียหายและใช้มีดแทงผู้เสียหาย 2 ครั้งถูกที่ต้นแขนขวาและที่ชายโครงขวาของผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้มือขวาแย่งมีดจากจำเลย และใช้มือซ้ายจับโช้กอัพตีศีรษะจำเลย 1 ครั้งเป็นเหตุให้จำเลยถลาไปและมีดกระเด็นหลุดจากมือจำเลย ในระหว่างนั้นผู้เสียหายบอกให้นายพันพาผู้เสียหายไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยตำบลกรับใหญ่ นายพันขับขี่รถของผู้เสียหายวกกลับไปทางเดิมจนถึงสถานีอนามัยดังกล่าว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ขณะเกิดเหตุโจทก์จะมีประจักษ์พยานเพียงตัวผู้เสียหายกับนายพันบุตรชายผู้เสียหายก็ตาม แต่ผู้เสียหายและนายพันก็ยืนยันว่าจำเลยเดินถือมีดเข้าไปหาผู้เสียหายในลักษณะที่จะทำร้ายผู้เสียหายก่อน และมูลเหตุที่จำเลยมาทำร้ายผู้เสียหายก็สืบเนื่องมาจากก่อนเกิดเหตุประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยกับผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกันโดยจำเลยใช้สุราในแก้วสาดผู้เสียหาย และต่อมาจำเลยใช้มือตบท้ายทอยผู้เสียหายอีก ผู้เสียหายรู้สึกโกรธจึงใช้สุราในแก้วสาดจำเลยบ้างและชกต่อยจำเลย เชื่อว่าจำเลยเกิดความไม่พอใจในการที่ถูกผู้เสียหายชกต่อย จึงขับขี่รถจักรยานยนต์ตามไปทำร้ายผู้เสียหายพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้มีดแทงผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวนี้แม้จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยถือมีดปลายแหลมตรงไปยังผู้เสียหายในลักษณะที่จะทำร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่ก่อนที่จำเลยจะแทงผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายได้ใช้โช้กอัพรถจักรยานยนต์ตีจำเลยเพื่อป้องกันตัวแต่ไม่ถูก จำเลยจึงเข้าประชิดตัวผู้เสียหายและใช้มีดแทงผู้เสียหาย 2 ครั้ง ถูกที่ต้นแขนขวา กล้ามเนื้อขาดเป็นบาดแผลขนาด 12x3x2 เซนติเมตร และถูกที่ชายโครงขวาทะลุเข้าทรวงอกเป็นบาดแผลขนาด 6x2x3 เซนติเมตร เป็นการแทงโดยกะทันหันในเวลากลางคืนเห็นว่า จำเลยแทงสุ่มไปโดยไม่มีโอกาสจะเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงส่วนไหนของร่างกายผู้เสียหาย หากบังเอิญไปถูกที่ชายโครงขวาทะลุเข้าทรวงอก พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกับบาดแผลยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยเจตนานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ส่วนข้อหาในความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลย 100 บาทจึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การพาอาวุธมีดของจำเลยมีเหตุสมควร จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ให้จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์