คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 335/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ แม้ศาลชั้นต้นนั้นจะเป็นศาลแขวงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็หาถึงที่สุดไม่ ยังชอบที่จะฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ต่อมาได้ตามกระบวนความ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2503)

ย่อยาว

ศาลแขวงสุราษฏร์ธานีพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานสาธารณะสุข ปรับ ๘๐ บาท ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ ม.๑๐, ๑๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๒ ม. ๔, ๖
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแขวงวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากท้องสำนวน ศาลแขวงสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวง ฯ ม.๒๒
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงมานั้น ฟังตามพยานหลักฐานในสำนวนไม่ใช้นอกสำนวนดังจำเลยอ้าง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นต่อมาอีก และศาลแขวงสั่งรับขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัย
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เช่นนี้ แม้ศาลชั้นต้นนั้นจะเป็นศาลแขวง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็หาถึงที่สุดไม่ ยังชอบที่จะฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ต่อมาได้ตามกระบวนความ เพราะเรื่องเช่นนี้ ไม่มีบัญญัติไว้โดยตรงใน พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ กรณีจึงต้องด้วย ม.๔ ซึ่งระบุให้ในกฎหมายว่า ด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา, กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องหมายความว่าจะใช้กฎหมายใดนั้น ต้องเป็นไปตามกรณี จะใช่รวมกันทั้งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา, และกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมกัน สภาพหาเปิดช่องให้กระทำเช่นนั้นไม่ แม้ พ.ร.บ. นี้จะเป็นพ.ร.บ.ว่าด้วยคดีอาญา แต่ก็อาจมีคดีแพ่งฟ้องปนกับคดีอาญาได้ ซึ่งในส่วนแพ่งเช่นนี้ ก็ต้องใช้กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญา ก็ชอบที่จะใช้กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาบังคับ คือ ในคดีอาญาฎีกาได้ คำสั่งศาลอุทธรณ์หาได้ยุติดังเช่นในคดีแพ่ง
ซึ่งมีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดไว้ไม่ คดีนี้จำเลยยื่นเป็นคำร้องฎีกาคำสั่ง ซึ่งความจริงควรเป็นรูปฎีกาธรรมดา แต่เมื่ออ่านถ้อยคำแล้วก็พอเห็นได้ว่าเป็นฎีกาธรรมดา ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้รับมาแล้ว จึงสมควรวินิจฉัยต่อไป ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงโดยอาศัยพยานหลักฐานในท้องสำนวน หาได้วินิจฉัยจากท้องสำนวนดังอุทธรณ์ของจำเลยไม่ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ไม่เป็นปัญหาในข้อกฎหมายแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองไม่รับเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงฯ ม. ๒๒ ชอบแล้ว
พิพากษายืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์

Share