แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในฐานผู้ค้ำประกัน จำเลยต่อสู้ว่า ผู้ซื้อผู้ขายไม่ต้องการทำสัญญาซื้อขายต่อเจ้าหน้าที่ ผู้ซื้อคือโจทก์ เกรงว่าผู้ขายจะกลับถ้อยคืนคำ ผู้ซื้อให้ทำเป็นสัญญากู้จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ เป็นเรื่องคู่สัญญาเปลี่ยนความประสงค์เดิม เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเรื่องคู่สัญญาสมัครใจเปลี่ยนทำสัญญากู้และค้ำประกัน แทนสัญญาซื้อขายเสียแล้ว การที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้เป็นการขัดต่อสัญญากู้และค้ำประกัน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสมบูรณ์ การอรุณทำหนังสือสัญญากู้และรับเงินของโจทก์ไป ๔,๐๐๐ บาท จำเลยทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้รายนี้ นายสมบูรณ์ไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ต่อมานายสมบูรณ์ถึงแก่กรรมโดยไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นมรดกไว้ ทรัพย์สินที่นายสมบูรณ์แสดงไว้ในสัญญากู้ โจทก์ทราบในภายหลังว่า นายสมบูรณ์ได้ขายและสละสิทธิครอบครองให้คนอื่นไปนานแล้ว จึงฟ้องให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันดังฟ้องจริง โดยเดิมนายสมบูรณ์ผู้ตายป่วย ไม่มีเงินรักษาพยาบาล จึงขายบ้านหนึ่งหลังให้โจทก์ เนื่องจากมีที่ดินที่ปลูกบ้านรวมอยู่ด้วย ซึ่งจะต้องทำนิติกรรมซื้อขายกันที่อำเภอ แต่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องการจะมาทำการซื้อขายกันต่อหน้าเจ้าพนักงาน ผู้ซื้อเกรงผู้ขายจะกลับคืนคำ จึงเพทุบายทำเป็นหนังสือสัญญากู้เงินให้ผู้ตายกู้เงินถัดไป ๔,๐๐๐ บาท และให้จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ไม่ใช่เรื่องกู้เงินกันจริง ๆ เป็นนิติกรรมอำพราง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและวินิจฉัยว่า สัญญากู้รายนี้ไม่ใช่นิติกรรมอำพรางจำเลยต้องรับผิด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จะให้จำเลยนำสืบหักล้างว่า หนี้ ๔,๐๐๐ บาท มิได้มีอยู่เลย มิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสารแต่อย่างใด คำกล่าวอ้างของจำเลยเรื่องนิติกรรมอำพรางจะสมเหตุผลหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงพิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจนสิ้นกระแสความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีกว่าผู้ซื้อผู้ขายไม่ต้องการมาทำสัญญาซื้อขายต่อเจ้าหน้าที่ ผู้ซื้อคือโจทก์ เกรงว่าผู้ขายจะกลับถ้อยคืนคำ ผู้ซื้อให้ทำเป็นสัญญากู้จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ เป็นเรื่องคู่สัญญาเปลี่ยนความประสงค์ไม่ต้องการทำสัญญาซื้อขาย แต่ให้ทำเป็นสัญญากู้ สัญญาซื้อขายจึงเป็นอันไม่มี ไม่ใช่เรื่องนิติกรรมอำพราง เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเรื่องคู่สัญญาสมัครใจเปลี่ยนทำสัญญากู้และค้ำประกัน แทนสัญญาซื้อขายเสียแล้ว การที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้เป็นการขัดต่อสัญญากู้และค้ำประกัน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔
จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น