คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6907/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง ซึ่งกำหนดมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย จึงเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นโดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ถ้อยคำเจาะจงว่าให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 1,050,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ตามโฉนดเลขที่ 3045 ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เป็นประกันหนี้ในวงเงิน 800,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และมีข้อตกลงว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยที่ 1 ยอมชดใช้ในส่วนที่ยังขาดอยู่ให้แก่โจทก์จนครบ หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้วไม่ชำระให้โจทก์อีก และมีหนี้ค้างชำระเฉพาะต้นเงินจำนวน 958,977.40 บาท โจทก์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเป็นอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,244,174.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 958,977.40 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าไม่พอให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองจนครบ

จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า สัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองที่ดินเป็นนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นด้วยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมอันเกิดจากการหลอกลวงของโจทก์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน 398,825.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 348,610.95 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ในวงเงิน 250,000 บาท โดยนำเงินฝากประจำซึ่งฝากไว้กับโจทก์จำนวน 250,000 บาท เป็นประกันหนี้ ต่อมาโจทก์ยอมยกเลิกการค้ำประกันโดยให้จำเลยที่ 2 ถอนเงินฝากและคืนสมุดเงินฝากดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 สัญญาค้ำประกันจึงระงับไป ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองด้วยความสมัครใจ โจทก์จึงไม่ต้องชำระเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระมาแล้วพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่จำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,244,174.66 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 958,977.40 บาท นับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามโฉนดเลขที่ 3045 ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองจนครบ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะโจทก์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ปรากฏว่าตามคำฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2536ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เห็นว่า การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามบทบัญญัติมาตรา 193/3 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วยจึงเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นโดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้วไม่จำเป็นอย่างใดที่จะต้องใช้ถ้อยคำเจาะจงว่าให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”

พิพากษายืน

Share