แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอ้างเอกสารเป็นประเด็นในคำให้การ และวันชี้สองสถานศาลได้เรียกเอกสารนั้นไปจากจำเลย แล้วให้โจทก์ดูเอกสารนั้นแล้ว เช่นนี้จำเลยหาจำต้องส่งสำเนาเอกสารให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยานอีกไม่ และอนึ่งการที่ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ถึงกับทำให้ศาลรับฟังเอกสารนั้นไม่ได้เสียทีเดียว.
ย่อยาว
คดีพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่นา ๑ แปลง ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงกับจำเลยว่านายนุช ( สามีโจทก์บิดาจำเลย ) ได้ทำนิติกรรมหมาย จ.ล.๑, จ.ล.๒ จดทะเบียนยกที่มาและสวนให้จำเลยโดยโจทก์เป็นผู้รับมอบฉันทะไปโอนแทน จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ที่พิพาทเป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา แต่คดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง คงรับฎีกาเฉพาะข้อที่ว่า เอกสาร จ.ล.๑ , จ.ล.๒ จำเลยมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยาน จึงรับฟังไม่ได้
ตามสำนวนปรากฏว่าคำให้การสู้คดีของจำเลยกล่าวถึงข้อที่บิดาจำเลยมอบฉันทะให้โจทก์ไปทำนิติกรรมยกที่พิพาทให้จำเลย ตามเอกสาร ๒ ฉบับนี้ต่อศาลในวันชี้สองสถาน ศาลให้โจทก์ดูแล้วดังนี้โจทก์จะเถียงว่าไม่มีโอกาสใคร่ครวญหาความจริงมาพิสูจน์ไม่ได้ ตาม วิ.แพ่ง ม.++ มิได้บัญญัติว่าถ้าไม่ส่งสำเนาก็ไม่ให้รับฟังเอกสารนั้น ทั้งเอกสารนี้ศาลก็เรียกไปจากจำเลยแล้ว นับว่ามิได้อยู่ในครอบครองของจำเลย เข้าข้อยกเว้นตาม ม.๙๐ (๒) ศาลฎีกาพิพากษายืน.