แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับชั้นจับกุมว่าจำเลยติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจาก ส. และเดินทางไปจุดผ่อนปรนแล้วว่าจ้างให้ พ. ขนกระสอบแกลบไปส่งที่ตลาดสดบ้านแพง ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้นัดแนะให้ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนในกระสอบแกลบนำมาวางยังฝั่งประเทศไทย หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะไปรับเมทแอมเฟตามีนต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนนับแต่ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนส่งมอบมายังฝั่งประเทศไทยและจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าของโดยการว่าจ้าง พ. ให้ขนไปส่งที่ตลาดสดบ้านแพงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 วรรคสาม, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม จำคุกตลอดชีวิต คำรับชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 37 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง แต่ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจับกุมจำเลยมิได้เป็นการตรวจค้นและพบการกระทำผิดโดยบังเอิญ แต่เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีพ่อค้ายาเสพติดเดินทางมาบริเวณจุดผ่อนปรน โดยระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์ตรงกับรถยนต์ของจำเลย จึงมีการวางแผนจับกุมตามจุดต่าง ๆ สิบตำรวจเอกวิรัชเห็นจำเลยจอดรถยนต์แล้วเดินไปที่จุดผ่อนปรน ดาบตำรวจรณชัยเห็นจำเลยเข้าไปคุยกับนายเพลินชัย คนขับสามล้อเครื่องแม้จะไม่ได้ยินว่าพูดคุยกันอย่างไร ดาบตำรวจรณชัยและสิบตำรวจเอกวิรัชย่อมจดจำจำเลยได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะสิบตำรวจเอกวิรัชขับรถยนต์ติดตามจับกุมจำเลยได้ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุ ทั้งไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ดังนั้นที่จำเลยนำสืบว่าไม่ได้ไปที่จุดผ่อนปรนจึงไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟัง นายเพลินชัย เบิกความว่า จำเลยว่าจ้างให้พยานขนแกลบ 7 ถึง 8 กระสอบ ซึ่งวางอยู่ริมแม่น้ำโขงให้ไปส่งหลังตลาดสดบ้านแพง ในราคาค่าจ้าง 120 บาท กระสอบวางห่างจากพยานประมาณ 3 ถึง 4 เมตร โดยจำเลยชี้ให้ดูกระสอบดังกล่าว พยานตกลงรับจ้างขนกระสอบ เจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาตรวจค้นกระสอบ ส่วนจำเลยวิ่งหลบหนีไป ต่อมาพยานทราบว่าพบเมทแอมเฟตามีนในกระสอบแกลบ คำเบิกความของนายเพลินชัยจึงสอดคล้องกับคำเบิกความของดาบตำรวจรณชัยที่ยืนยันว่าจำเลยเข้าไปพูดคุยกับนายเพลินชัยจริง นายเพลินชัยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยเช่นนั้น ที่จำเลยฎีกาทำนองว่าการตรวจค้นมีข้อพิรุธไม่จับกุมจำเลยทันที แต่มุ่งอยู่กับการตรวจค้นกระสอบแกลบ ซึ่งสามารถให้ผู้อื่นเฝ้าไว้ก่อนได้ เห็นว่า ดาบตำรวจรณชัยไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างจำเลยและนายเพลินชัย แต่ดาบตำรวจรณชัยเข้าใจว่าจำเลยว่าจ้างให้ขนกระสอบ จึงเข้าตรวจค้นกระสอบก่อน ซึ่งหาใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เพราะหากไม่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางเสียก่อน การจะเข้าควบคุมตัวจำเลยทันทีย่อมกระทำไม่ได้ ประกอบกับเมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามา จำเลยก็รีบเดินอย่างเร่งรีบหลบหนีไปทันที ดาบตำรวจรณชัยวิทยุแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสกัดจับจำเลยได้ในเวลาต่อมา การดำเนินการตรวจค้นจึงหาเป็นข้อพิรุธดังฎีกาของจำเลยไม่ พันตำรวจโทวีระยุทธ หัวหน้าชุดจับกุมเบิกความว่าจำเลยรับว่ามีนายวิชัยไม่ทราบชื่อสกุล ชาวอุดรธานีมอบเงิน 50,000 บาท ให้แก่จำเลย จำเลยจึงนำเงินดังกล่าวรวมกับเงินของจำเลยอีก 50,000 บาท ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน โดยโทรศัพท์ซื้อจากนายสี ประชาชนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในราคา 100,000 บาท โดยตกลงให้ซุกซ่อนในกระสอบแกลบนำส่งจุดผ่อนปรนเกิดเหตุและรับว่าจำเลยว่าจ้างคนขับสามล้อเครื่องให้ขนกระสอบแกลบไปส่งที่ตลาดสดบ้านแพงจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าให้การรับสารภาพเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าให้จำเลยหรือนายนิพนธ์ เพื่อนของจำเลยคนใดคนหนึ่งรับสารภาพก็จะปล่อยตัวไป จำเลยจึงยอมรับสารภาพเนื่องจากภริยาของนายนิพนธ์ตั้งครรภ์ใกล้คลอดนั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้อ้างนายพิพนธ์มาเป็นพยานแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่านายนิพนธ์ร่วมเดินทางมากับจำเลยก็ตาม แต่ขณะเกิดเหตุนายนิพนธ์ไม่ได้ไปกับจำเลย แต่พักอยู่ที่ห้อง เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหานายนิพนธ์ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยและนายนิพนธ์ตามพฤติการณ์และหลักฐานในการกระทำความผิด มิได้กลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย พฤติการณ์หลักฐานต่างๆ จึงนำมารับฟังประกอบประจักษ์พยานโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสี ประชาชนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนั้น ในข้อนี้ เห็นว่า จำเลยนำสืบว่าจำเลยเดินทางมาจากจังหวัดกระบี่มาเยี่ยมภริยานายนิพนธ์ที่จังหวัดมหาสารคาม นายนิพนธ์ทะเลาะกับภริยาจำเลยจึงชวนนายนิพนธ์ไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านนาเข อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม แต่จำเลยไม่ได้อ้างนายนิพนธ์หรือภริยานายนิพนธ์มาเป็นพยาน ทั้งทางนำสืบก็ไม่ได้ระบุว่าเพื่อนจำเลยที่บ้านนาเขมีชื่อและชื่อสกุลใดอยู่บ้านเลขที่เท่าใด เมื่อจำเลยเดินทางมาถึงได้พบกับเพื่อนคนดังกล่าวหรือไม่ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงเลื่อนลอย เมื่อพิจารณาประกอบกับมีสายลับแจ้งว่ามีพ่อค้ายาเสพติดมารับเมทแอมเฟตามีนที่จุดผ่อนปรนเกิดเหตุโดยระบุหมายเลขทะเบียนตรงกับรถของจำเลยและจำเลยรับชั้นจับกุมว่าจำเลยติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสี และเดินทางไปจุดผ่อนปรนแล้ว ว่าจ้างให้นายเพลินชัยขนกระสอบแกลบไปส่งที่ตลาดสดบ้านแพง ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้นัดแนะให้ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนในกระสอบแกลบนำมาวางยังฝั่งประเทศไทย หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะไปรับเมทแอมเฟตามีนต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนนับแต่ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนส่งมอบมายังฝั่งประเทศไทยและจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าของโดยการว่าจ้างนายเพลินชัยให้ขนไปส่งที่ตลาดสดบ้านแพงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน