คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3343/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สภาพบ้านของผู้ร้องเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคามุงด้วยสังกะสี ผนังบ้านกั้นด้วยกระเบื้องแผ่นเรียบ พื้นบ้านมีการยกพื้น โดยเป็นการปลูกสร้างอย่างง่ายๆ ใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่ยากต่อการรื้อถอน ทางด้านขวาของบ้านผู้ร้องติดกับผนังของบ้านข้างเคียง ส่วนทางด้านซ้ายอยู่ห่างจากผนังบ้านข้างเคียงประมาณ 1 เมตร บริเวณด้านข้างและด้านหลังมีน้ำท่วมขังไม่สามารถใช้เป็นทางเดินได้ ลักษณะการปลูกสร้างบ้านและสภาพสิ่งแวดล้อมของบ้านผู้ร้องจึงมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการปลูกสร้างไม่แน่นหนาและถาวรเพื่อเป็นที่อาศัยพักพิงชั่วคราวดังเช่นบ้านในชุมชนแออัดทั่วไปซึ่งมักจะอาศัยโอกาสปลูกสร้างบ้านชั่วคราวในลักษณะเช่นนี้ในที่ดินว่างเปล่าของผู้อื่น โดยการปลูกสร้างหรือต่อเติมรวมทั้งการรื้อถอนโยกย้ายสามารถกระทำได้ง่ายตลอดเวลา นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้ร้องไม่เคยขอเลขที่บ้านหรือหลักฐานทะเบียนบ้านจากทางราชการ ทั้งได้ความว่าบุตรของผู้ร้องไปขอใช้บริการไฟฟ้าและน้ำประปาให้ผู้ร้องโดยใช้บ้านเลขที่ของน้องต่างมารดาของผู้ร้อง และติดตั้งมาตรวัดน้ำและมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านดังกล่าวด้วย ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าผู้ร้องยอมรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกสร้างชั่วคราวในที่ดินของผู้อื่น พฤติกรรมการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องเช่นนี้จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของอันจะเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเพื่อทำการแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 2340 เป็นโฉนดฉบับใหม่ให้แก่ผู้ร้อง และมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านผู้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่ศาลหรือเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทำการแบ่งแยกที่ดินออกจากโฉนดที่ดินเดิมให้แก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่าขอให้บังคับผู้ร้องและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินของผู้ร้องและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2340 และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้คัดค้านในอัตราเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งไปจนกว่าผู้ร้องและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินของผู้ร้องและบริวารออกจากที่ดินของผู้คัดค้าน
ผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ให้ผู้ร้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2340 ของผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องคัดค้านและฟ้องแย้ง (วันที่ 31 มีนาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าผู้ร้องจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท กับให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1445 และ 2340 ผู้ร้องเข้าไปปลูกสร้างบ้านอยู่บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2340 มีเนื้อที่ประมาณ 15 ตารางวา ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.11 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนดาวคะนองฝั่งใต้ซึ่งมีชาวบ้านอื่นบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านพักอาศัยแออัด ตามภาพถ่ายทางอากาศของกรมที่ดิน หมาย ร.5 และภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2534 หมาย ร.7 และ ร.8 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ครอบครองต้องครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้น นอกจากเรื่องระยะเวลาในการครอบครองแล้ว ผู้ร้องยังมีหน้าที่ต้องนำสืบถึงเจตนาในการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของซึ่งต้องพิจารณาจากพฤติกรรมการครอบครองของผู้ร้องว่ามีลักษณะอันจะถือได้ว่าเป็นการเข้าครอบครองโดยมีเจตนาอย่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยถาวรหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบโดยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความถึงการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของตนด้วยการปลูกสร้างบ้านชั้นเดียวพักอาศัยอยู่ โดยชาวบ้านข้างเคียงซึ่งอยู่ในชุมชนแออัดดังกล่าวทราบดีว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของ โดยมีนางกรกมลบุตรของผู้ร้อง นายชด น้องต่างมารดาของผู้ร้องและนางสาวพรรณี ศรีปาน เพื่อนบ้านมาเบิกความสนับสนุนและเมื่อพิจารณาจากสภาพบ้านของผู้ร้อง ตามภาพถ่ายหมาย ค.6 ประกอบแล้ว ปรากฏว่าบ้านของผู้ร้องเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคามุงด้วยสังกะสี ผนังบ้านกั้นด้วยกระเบื้องแผ่นเรียบ พื้นบ้านมีการยกพื้น โดยเป็นการปลูกสร้างอย่างง่าย ๆ ใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่ยากต่อการรื้อถอน และได้ความจากผู้ร้องว่า ทางด้านขวาของบ้านผู้ร้องติดกับผนังของบ้านข้างเคียง ส่วนทางด้านซ้ายอยู่ห่างจากผนังบ้านข้างเคียงประมาณ 1 เมตร บริเวณด้านข้างและด้านหลังมีน้ำท่วมขังไม่สามารถใช้เป็นทางเดินได้ ลักษณะการปลูกสร้างบ้านและสภาพสิ่งแวดล้อมของบ้านผู้ร้องจึงมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่า เป็นการปลูกสร้างเพื่อขออาศัยเป็นที่พักพิงชั่วคราวไม่แน่นหนาและถาวรดังเช่นบ้านในชุมชนแออัดทั่วไปซึ่งมักจะอาศัยโอกาสปลูกสร้างบ้านชั่วคราวในลักษณะเช่นนี้ในที่ดินว่างเปล่าของผู้อื่น โดยการปลูกสร้างหรือต่อเติมรวมทั้งการรื้อถอนโยกย้ายสามารถกระทำได้โดยง่ายตลอดเวลา นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้ร้องไม่เคยขอเลขที่บ้านหรือหลักฐานทะเบียนบ้านจากทางราชการ ทั้งได้ความจากนางกรกมลว่า พยานไปขอใช้บริการไฟฟ้าและน้ำประปาให้ผู้ร้องโดยใช้บ้านเลขที่ของนายชดและติดตั้งมาตรวัดน้ำและมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านของนายชด ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าผู้ร้องยอมรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกสร้างชั่วคราวในที่ดินของผู้อื่น พฤติกรรมการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องเช่นนี้ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวตกแก่ผู้ร้องและทางนำสืบของผู้ร้องฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมีเจตนาอย่างเป็นเจ้าของเสียแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องระยะเวลาในการครอบครอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share