คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ขายเครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องมือช่างทองให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่ชำระราคา และโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระราคาเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบตามมาตรา 193/34 (1)
โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม สินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องมือช่างทองด้วยกัน ทำสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างกันเองโดยจำเลยซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์เพื่อขายต่อไปให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยกรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ขายสินค้าเพื่อกิจการของจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้เองตามมาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องคดีของโจทก์ที่เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบแก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายจึงมีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามมาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/12 หนี้ค่าสินค้าครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งสั่งซื้อเมื่อเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ครบกำหนดระยะเวลาชำระที่โจทก์ขยายให้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 เมื่อจำเลยไม่ชำระโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2540 หนี้ค่าสินค้าครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ครบกำหนดชำระในวันที่ 5 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2540 โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 6 และวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2545 หนี้ค่าสินค้าดังกล่าวทั้งหมดจึงยังไม่ขาดอายุความ
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม บัญญัติเพียงว่า ใบมอบอำนาจที่ทำในเมืองต่างประเทศที่มีกงสุลสยาม ต้องให้กงสุลนั้นเป็นพยาน ถ้าทำในเมืองต่างประเทศที่ไม่มีกงสุลสยามต้องให้โนตารีปับลิก ฯลฯ เป็นพยาน ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าผู้รับมอบอำนาจจะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ฉะนั้น แม้ ว. และ ช. ผู้รับมอบอำนาจไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ก็ไม่ทำให้หนังสือมอบอำนาจนั้นเสียไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าจำนวน 98,813.24 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 4,282,170.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ของกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ ไม่ปรากฏชื่อผู้รับมอบอำนาจ ไม่ระบุให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลย และไม่มีโนตารีปับลิกรับรองหนี้ค่าสินค้าตามฟ้องขาดอายุความ เพราะโจทก์เป็นผู้ประกอบอาชีพการค้าหรืออุตสาหกรรม ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบ จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดเวลาชำระเงินค่าสินค้า ขอให้ยกฟ้องหรือขอให้นำยอดเงินที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยมาหักออกจากจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องก่อน
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่คู่ความนำสืบรับกัน และตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซื้อขาย ไม่ใช่สัญญาเข้าหุ้นส่วน (สามัญไม่จดทะเบียน) โดยโจทก์ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างทองวัสดุและอะไหล่ ส่วนจำเลยมีอาชีพผู้เป็นจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรมเพื่อใช้ผลิตทองรูปพรรณ จำเลยซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ 4 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2540 ครั้งที่สอง เดือนกุมภาพันธ์ 2540 และระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2540 อีก 2 ครั้ง แล้วยังค้างชำระค่าสินค้า 25,050 ดอลลาร์สหรัฐ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ 47,520 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,219 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ โจทก์หักค่าใช้จ่ายที่จำเลยใช้รับรองตัวแทนของโจทก์ให้จำนวน 2,833 ดอลลาร์สหรัฐ คงค้างชำระรวม 72,656 ดอลลาร์สหรัฐ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี (1) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม… เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ…เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง…” และมาตรา 193/33 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี (1)… (5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34 (1)… ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี” ดังนี้ การที่โจทก์ขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างทองให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่ชำระราคา และโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระราคาจึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ตามมาตรา 193/34 (1) คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการซื้อขายสินค้าดังกล่าวเป็นการที่โจทก์เจ้าหนี้ได้ทำเพื่อกิจการของจำเลยลูกหนี้เองตามความตอนท้ายของมาตรานี้อันจะทำให้มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมสินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องมือช่างทอง ด้วยกัน ทำสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างกันเอง โดยจำเลยซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์เพื่อขายต่อไปให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลย กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ขายสินค้าเพื่อกิจการของจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้เอง ตามมาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องคดีของโจทก์ที่เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบแก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายจึงมีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามมาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/12 หนี้ค่าสินค้าครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งสั่งซื้อเมื่อเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ครบกำหนดระยะเวลาชำระที่โจทก์ขยายให้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 เมื่อจำเลยไม่ชำระโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2540 หนี้ค่าสินค้าครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ครบกำหนดชำระในวันที่ 5 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2540 โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 6 และวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2545 หนี้ค่าสินค้าดังกล่าวทั้งหมดจึงยังไม่ขาดอายุความ ที่ศาลทรัพย์สินทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน 2 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้ จึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้อนี้ฟังขึ้น และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นข้อ 2 ข้อ 3 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เนื่องจากคู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานหลักฐานในประเด็นทั้งสองมาเพียงพอแก่การวินิจฉัยได้แล้ว และเพื่อมิให้คดีล่าช้า ประกอบกับโจทก์ได้อุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวมาในอุทธรณ์ด้วยแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรวินิจฉัยต่อไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยประเด็นทั้งสองอีก ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3)
สำหรับประเด็นที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้อ้างส่งหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของโจทก์พร้อมคำแปล และหนังสือมอบอำนาจพร้อมคำแปลว่า นายเอลิเซโอ ดี เมียโอ เป็นประธานกรรมการบริษัทโจทก์ ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ และนายเอลิเซโอ ดี เมียโอ มีอำนาจเต็มในการบริหารสามัญของบริษัท กับเป็นตัวแทนของบริษัทในการดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งการแต่งตั้งทนายความเพื่อว่าความแก้ต่างในการพิจารณาคดี โจกท์โดยนายเอลิเซโอ ดี เมียโอ แต่งตั้งให้นายวิชัย สมบูรณ์โชคพิศาล และหรือนายชัยสิทธิ์ เตชะธเนศ ฟ้องคดีแทน ซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงตามเอกสารเหล่านี้ โดยจำเลยเพียงแต่ยื่นบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายสุมทร เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ กรรมการบริษัทจำเลยว่า จำเลยติดต่อการค้ากับนายมิเชล มัฟฟุกซี่ กรรมการของโจทก์นายคาโล ผู้จัดการทั่วไป และนายฟรานเชนคอน มาสสิโม ตัวแทนการค้าของโจทก์ไม่เคยพบกับนายเอลิเซโอ ดี เมียโอ ไม่รู้ว่าบุคคลนี้เป็นกรรมการของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ฉะนั้น จึงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีนายเอลิเซโอ ดี เมียโอ เป็นประธานกรรมการบริษัทมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจมอบอำนาจให้นายวิชัยและหรือนายชัยสิทธิ์ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์
ส่วนที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่มีโนตารีปับลิกรับรอง ก็ปรากฏว่ามีเอกสารแนบท้ายหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวว่า นายเออร์โค ลา ซิวิต้า โนตารีปับลิกในเมืองมิลาน ประเทศสาธารณรัฐอิตาลี ลงลายมือชื่อรับรองว่านายเอลิเซโอ ดี เมียโอ ในฐานประธานกรรมการบริษัทลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจต่อหน้าโนตารีปับลิก และที่จำเลยให้การว่าในหนังสือมอบอำนาจไม่มีลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 วรรคสาม บัญญัติเพียงว่า ใบมอบอำนาจที่ทำในเมืองต่างประเทศที่มีกงสุลสยาม ต้องให้กงสุลนั้นเป็นพยาน ถ้าทำในเมืองต่างประเทศที่ไม่มีกงสุลสยามต้องให้โนตารีปับลิก ฯลฯ เป็นพยาน ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่า ผู้รับมอบอำนาจจะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ฉะนั้น แม้นายวิชัยและนายชัยสิทธิ์ผู้รับมอบอำนาจไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ก็ไม่ทำให้หนังสือมอบอำนาจนั้นเสียไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ส่วนประเด็นว่า จำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า จำเลยยังค้างชำระเงินค่าสินค้า 4 ครั้ง รวม 72,656 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยให้การและนำสืบต่อสู้ว่าชำระครบถ้วนแล้วด้วยเช็ค 3 ฉบับ ตามสำเนาเช็คเอกสารการจัดส่งและเอกสารการคิดบัญชีกับโดยการหักเงินค่าเช่าสถานที่จัดงานแสดงสินค้าของโจทก์และค่าโรงแรมของพนักงานโจทก์ที่จำเลยสำรองจ่ายไปก่อนตามเอกสารการคิดบัญชีและใบเสร็จรับเงิน แต่โจทก์ไม่นำเช็ค 3 ฉบับ ดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ซึ่งโจทก์นำสืบว่า เช็คดังกล่าวจำเลยสั่งจ่ายเพื่อเป็นประกันการโอนเงินชำระค่าสินค้า ไม่ใช่ให้โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน เห็นว่า คู่ความสองฝ่ายนำสืบรับกันว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็ค 3 ฉบับ ส่งมอบแก่โจทก์ แล้วโจทก์ไม่นำไปเรียกเก็บเงิน ซึ่งไม่ว่าจำเลยจะสั่งจ่ายเช็ค 3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ หรือเพื่อประกันการชำระหนี้โดยการโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ในต่างประเทศ จำเลยย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คในอันที่จะใช้เงินแก่โจทก์ผู้ทรงเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง, 914, 989 วรรคหนึ่ง แต่การชำระหนี้ด้วยการออกเช็คซึ่งเป็นตั๋วเงิน หนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินนั้นได้ใช้เงินแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม เมื่อรับกันว่าโจทก์ไม่ได้นำเช็ค 3 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค หนี้ค่าสินค้าที่มีอยู่เดิมก็ไม่ระงับ แม้โจทก์เจ้าหนี้จะเป็นฝ่ายละเลยไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเองก็ตามอย่างไรก็ดี สำหรับจำนวนเงินค่าสินค้าครั้งหลังสุด จำนวน 1,219 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลย นำสืบว่า ได้ชำระแล้วโดยหักจากเงินที่จำเลยสำรองจ่ายให้นายฟรานเชนคอน มาสสิโม ตัวแทนของโจทก์บางส่วนและที่นายฟรานเชนคอน มาสสิโม ให้จำเลยจ่ายค่าโรงแรมไม่เป็นเงินรวม 99,177.05 บาท ซึ่งไม่ว่าจะคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 25 บาท ตามที่จำเลยต่อสู้ หรือ 43.336 บาท ตามที่โจทก์เรียกก็ครบจำนวนหนี้จำนวนนี้แล้ว โจทก์มิได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าสินค้าจำนวน 1,219 ดอลลาร์สหรัฐ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้จำนวนนี้ด้วยการชำระหนี้ออย่างอื่นแทนให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง ไปแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยมีสิทธิหักเงินค่าเครื่องจักร อุปกรณ์และค่าใช้จ่ายที่สั่งซื้อจากโจทก์มาทดสอบใช้งานให้ลูกค้าดู ออกจากเงินค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีเพียงนายสุนทรกับนางเพชรรัตน์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทของจำเลยยื่นบันทึกถ้อยคำว่า โจทก์กับจำเลยตกลงกันให้จำเลยสามารถส่งคืนเครื่องจักรที่ไม่สามารถผลิตงานได้แก่โจทก์ตามข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 แต่จำเลยไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงว่ามีข้อตกลงนี้ ส่วนเครื่องจักรบางส่วน เช่น เครื่องหล่อระบบสุญญกาศ และอื่นๆ ที่จำเลยอ้างว่าเป็นสินค้ารับคืน ตามรายงานส่งสินค้าคืน และใบส่งสินค้า ก็เป็นรายการสินค้าของปี 2538 และของต้นปีถึงกลางปี 2539 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยอ้างว่ามีการตกลงเข้าเป็นหุ้นส่วนที่มีข้อตกลงคืนสินค้ากันดังกล่าว ในปัญหานี้โจทก์มีนายชัยสิทธิ์ เตชะธเนศ เป็นพยานได้ยื่นบันทึกถ้อยคำปฏิเสธว่า โจทก์ไม่เคยได้รับแจ้งเรื่องความเสียหายของสินค้า และเรียกให้โจทก์ชำระค่าเสียหายกับค่าอะไหล่ในการซ่อมแซมตามที่จำเลยกล้าวอ้างแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยคืนสินค้าที่ไม่สามารถใช้ผลิตงานได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำเงินค่าสินค้า ค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายจำนวน 308,129 บาท มาขอหักออกจากหนี้ค่าสินค้าที่ยังค้างชำระโจทก์ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินค้าจำนวนที่เหลือจากการหักค่าสินค้าครั้งที่ 4 จำนวน 1,219 ดอลลาร์สหรัฐ ออกแล้ว คือจำนวน 71,437 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดชำระค่าสินค้าที่สั่งซื้อแต่ละครั้ง คือ ในต้นเงินจำนวน 23,917 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2540 และจำนวน 47,520 ดอลลาร์สหรัฐนับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2540 ไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ แต่หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และเวลาที่จำเลยใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 วรรคสอง มิใช่อัตรา 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 43.336 บาท ตามที่โจทก์ขอมาในคำฟ้อง หรือเท่ากับ 25 บาท ตามที่จำเลยให้การ เพราะไม่มีข้อตกลงใดให้โจทก์ จำเลยคิดได้ดังที่กล่าวอ้าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 71,437 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 23,917 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2540 และในต้นเงิน 47,520 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2540 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องคือวันที่ 26 เมษายน 2545 ต้องไม่เกิน 26,157.24 ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่โจทก์ขอหากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันที่มีการใช้เงิน แต่ทั้งนี้ไม่ให้เกินอัตรา 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 43.336 บาท ตามที่โจทก์ขอ

Share