คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงินประกอบธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าโดยให้กู้ยืม ให้เบิกเงินเกินบัญชี ซื้อขายลดตั๋วเงินหรือโดยประการอื่นที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์อื่นการที่จำเลยทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ 3 ฉบับ ต่างคราวกัน แล้วผิดสัญญา มูลหนี้ตามสัญญาและตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับเป็นมูลหนี้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างเดียวกันซึ่งสามารถรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โจทก์จึงนำมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ เมื่อโจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก) จึงชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยแยกมูลหนี้ตามสัญญาหรือตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับจึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่จะต้องเสีย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ออกแล้วนำมาทำสัญญาขายให้แก่โจทก์ จำนวนเงิน51,400,000 บาท และดอกเบี้ย 18,991,261.57 บาท รวมเป็นเงิน 70,391,261.57 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 31,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนถึงวันที่ชำระเสร็จ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้ออกคำสั่งว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบยังขาดอยู่ 400,000 บาท ให้ชำระเพิ่มให้ครบภายใน 15 วัน

โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มอีก 400,000 บาท และยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 54,494,593.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับนับแต่วันครบกำหนดใช้เงินไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่31 กรกฎาคม 2543) รวมกันต้องไม่เกิน 18,991,261.57 บาท

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มูลหนี้ตามฟ้องไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ โจทก์รวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันและเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงินประกอบธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าโดยให้กู้ยืม ให้เบิกเงินเกินบัญชีซื้อขายลดตั๋วเงินหรือโดยประการอื่นที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์อื่น การที่จำเลยทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 3 ฉบับต่างคราวกันแล้วผิดสัญญา มูลหนี้ตามสัญญาและตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับเป็นมูลหนี้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งสามารถรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงนำมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก) ชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมอีกโดยแยกมูลหนี้ตามสัญญาหรือตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับจึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่จะต้องเสีย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินจากสองแสนบาทแก่โจทก์

Share