คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6766/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยได้นำที่ดินดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดินโดยปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อ โจทก์อ้างว่าที่ดินพิพาท ช. สามีโจทก์เป็นผู้ซื้อ ขอให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของ ช. แบ่งที่ดินให้ แต่จำเลยไม่ยอม โจทก์จำเลยจึงขอให้กรรมการหมู่บ้านทำข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเพื่อแบ่งปันที่ดินแปลงพิพาท การทำสัญญาดังกล่าวจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาทที่อาจมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 852

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของนายชื่น ก้อนคำ จำเลยเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์กับนายชื่น นายวัน ก้อนคำ ขายที่ดินให้แก่นายชื่น พร้อมกับมอบการครอบครองที่ดินให้นายชื่นเข้าทำประโยชน์นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ต่อมานายชื่นถึงแก่ความตาย โจทก์ต้องการจะแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้จำเลยครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยจะแบ่งที่ดินให้โจทก์ ๕ ไร่ พร้อมกับทางเข้าออก และได้ปักเขตที่ดินที่จำเลยแบ่งให้โจทก์ โจทก์และบุตรเข้าทำประโยชน์ตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๗ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า การซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องเป็นโมฆะ เพราะนายวัน ก้อนคำ ไม่ใช่เจ้าของที่ดินและทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายชื่น ก้อนคำ และจำเลย นายวันเป็นผู้อาศัยทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแทนนายปัน พรหมเกษา ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว และอยู่ในระหว่างห้ามโอนภายใน ๑๐ ปี นับแต่ปี ๒๕๑๙ ต่อมาปี ๒๕๒๑ จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเป็นต้นมา ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยทำไปในขณะที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของ และมิได้ระบุว่าแบ่งที่ดินแปลงไหน อย่างไร จำเลยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนายปันแล้ว โดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๐ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๐๓๖๘ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๓๓ หมู่ที่ ๖ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ. ๗ ให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ มีคำวินิจฉัยและคู่ความมิได้โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปแสดงเขตที่ดินที่จำเลยตกลงแบ่งให้โจทก์เอกสารหมาย จ. ๗ จำเลยได้ตกลงแบ่งให้โจทก์ตามสัญญาข้อตกลงเอกสารหมาย จ. ๒ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าสัญญาตามข้อตกลงดังกล่าวผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า สัญญาซื้อขายระบุชัดเจนว่านายวันขายที่ดินทั้งสองแปลงให้นายชื่นสามีโจทก์เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท กอร์ปกับปีที่ซื้อขายคือปี ๒๕๒๑ เป็นปีที่จำเลยเพิ่งตั้งหลักด้วยการมีครอบครัว ทั้งนายปันซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินในทางทะเบียนก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดินจากจำเลย และยังเบิกความอีกว่า หากผู้มาขอให้เซ็นชื่อเพื่อไปดำเนินการโอนชื่อทางทะเบียนเป็นทายาทของนายชื่น โดยมีการแสดงสัญญาซื้อขายให้ดู ก็จะเซ็นชื่อให้ไป ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่านายชื่นคือผู้ชำระราคาที่ดินที่แท้จริง หาใช่จำเลยเป็นผู้ซื้อไม่ หลังจากนายชื่นซื้อที่ดินแล้วโจทก์จำเลยก็ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้ว นายปันได้ยอมเซ็นชื่อมอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการออกโฉนด ซึ่งเป็นการโอนต่อให้จำเลยในฐานะทายาทผู้หนึ่งของนายชื่น การที่โจทก์ซึ่งก็เป็นทายาทผู้หนึ่งของนายชื่นและได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลย ได้ขอให้กรรมการหมู่บ้านทำข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเพื่อแบ่งปันที่ดินแปลงพิพาท การทำสัญญาดังกล่าวจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาทที่อาจมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ จำเลยจึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share