คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเสียค่าขึ้นศาลต้องพิจารณาจากคำฟ้องเป็นเกณฑ์มิได้พิจารณาเป็นรายคดีหรือรายสำนวน การเสนอข้อหาต่อศาลแต่ละข้อหาก็เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) แล้ว การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาแยกจากกันได้หรือไม่ หากแยกจากกันได้ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป การที่จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้อหาหนึ่งกับเบี้ยปรับของภาษีการค้าอีกข้อหาหนึ่งแยกจากกันได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลแยกเป็นรายข้อหา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 836,26030, 26031, 26032 และ 829 ตำบลฉิมพลี (บางระมาด)อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2534 โจทก์เข้าร่วมทุนกับบริษัท ซี.ไอ.ซี แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัดทำโครงการพัฒนาที่ดินมีจำนวนเงินร่วมลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 257,600,000 บาท โจทก์ร่วมลงทุนเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวข้างต้น บริษัท ซี.ไอ.ซี.แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด ให้บริษัทคอมมอลเว็ล ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการจัดหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศแล้วให้บริษัท ซี.ไอ.ซีแลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด กู้ยืมอีกทอดหนึ่ง มีเงื่อนไขให้โจทก์และบริษัทซี.ไอ.ซี. แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด จัดทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเท่ากับวงเงินที่ลงทุนเพื่อเป็นหลักฐานเสนอหาแหล่งเงินทุนในต่างประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม2534 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้บริษัท ซี.ไอ.ซี.แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด บริษัทคอมมอนเว็ลดีเวล็อปเม้นท์ จำกัดนำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายไปติดต่อหาแหล่งเงินจากต่างประเทศได้ในงวดแรกจำนวน 74,000,000 บาท ให้บริษัทซี.ไอ.ซี. แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด กู้ยืมต่อมาบริษัทคอมมอนเว็ลดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด ไม่อนุมัติเงินกู้งวดที่สองจำนวน 104,000,000บาท และยื่นฟ้องบริษัท ซี.ไอ.ซี. แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด ต่อศาลแพ่งเรียกเงินจำนวน 74,000,000 บาท คืน โจทก์ฟ้องบริษัท ซี.ไอ.ซี.แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด ต่อศาลแพ่งขอให้คืนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความทุกฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะเดิมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 จำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด.12) ที่ 1001010/1/100339 ลงวันที่ 15พฤษภาคม 2541 เป็นเงินภาษีจำนวน 34,051,219.23 บาท เบี้ยปรับจำนวน 69,582,236.46 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 34,051,219.23 บาทรวมทั้งสิ้นจำนวน 137,684,674.92 บาทและประเมินภาษีการค้าเดือนกรกฎาคม 2534 ตามหนังสือแจ้งภาษีการค้า (แบบ ภ.ค. 80)ที่ 1001010/4/100009 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 เป็นเงินภาษีจำนวน 2,590,000 บาท เบี้ยปรับจำนวน 5,180,000 บาทเงินเพิ่มจำนวน 2,590,000 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล (ปัจจุบันเป็นภาษีส่วนท้องถิ่น) จำนวน 1,036,000 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 11,396,000 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินทั้งสองฉบับดังกล่าวชอบแล้ว และพิจารณาลดเบี้ยปรับให้ร้อยละ 50ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ชอบ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเพราะมีคดีพิพาทเรื่องที่ดินและเงินจำนวนดังกล่าวต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการซื้อขายที่ดินดังกล่าวโจทก์ไม่มีรายได้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการโอนที่ดินของโจทก์เป็นเพียงทำตามเงื่อนไขที่บริษัทคอมมอนเว็ลดีเวล็อปเม้นท์ จำกัดจะนำไปเป็นหลักฐานประกอบการหาเงินจากแหล่งเงินจากต่างประเทศมาให้บริษัทซี.ไอ.ซี. แลนด์แอนด์เฮ้าซิ่ง จำกัด กู้ยืมต่อเท่านั้น โจทก์ไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้า ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด. 12) ที่ 1001010/1/100339 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล (ปัจจุบันเป็นภาษีส่วนท้องถิ่น) ตามหนังสือแจ้งภาษีการค้า(แบบ ภ.ค.80) ที่ 1001010/4/100009 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม2541 และ เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ ส.ภ.1(อธ.3)/419/2542 และเลขที่ ส.ภ.1/อธ.3/420/2542 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 กับขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล (ปัจจุบันเป็นภาษีส่วนท้องถิ่น) แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 12)ที่ 1001010/1/100339 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 และ หนังสือแจ้งภาษีการค้า (ภ.ค.80) ที่ 1001010/4/100009 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ ส.ภ.1 (อธ.3)/419/2542 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 และเลขที่ ส.ภ.1 (อธ.3)/420/2542 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 โดยให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้งดเฉพาะส่วนของเบี้ยปรับทั้งหมดเสีย

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์แต่ละข้อหาที่อุทธรณ์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าตามตาราง 1 ท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1)(ก)ระบุว่า “คำฟ้องนอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ต่อไปนี้ให้เรียกโดยอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้เกินสองแสนบาท” ดังนั้น การเสียค่าขึ้นศาลจึงต้องพิจารณาจากคำฟ้องเป็นเกณฑ์ มิได้พิจารณาเป็นรายคดีหรือรายสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ให้คำนิยามของคำฟ้องว่าหมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ดังนั้นการเสนอข้อหาต่อศาลแต่ละข้อหาก็เป็นคำฟ้องแล้ว การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหาแต่ละข้อหาแยกจากกันได้หรือไม่หากแยกจากกันได้ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้าเนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีรวมกัน หรือให้แยกคดีกันคำฟ้องใดหรือข้อหาอันมีอยู่ในคำฟ้องใดจะต้องโอนไปยังศาลอื่น หรือจะต้องกลับยื่นต่อศาลนั้นใหม่ หรือต่อศาลอื่นเป็นคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก ให้โจทก์ได้รับผ่อนผันไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในการยื่นหรือกลับยื่นคำฟ้องหรือข้อหาเช่นว่านั้น เว้นแต่จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์แห่งคำฟ้องหรือข้อหานั้นจะได้ทวีขึ้นในกรณีเช่นนี้ค่าธรรมเนียมเฉพาะที่ทวีขึ้น ให้คำนวณและชำระตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อน” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่สนับสนุนว่าให้เรียกค่าขึ้นศาลเป็นรายคำฟ้องหรือสำนวนมิใช่รายข้อหานั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้แสดงว่าให้เรียกค่าขึ้นศาลเป็นรายคำฟ้องหรือรายสำนวนดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ คดีนี้จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้อหาหนึ่งกับเบี้ยปรับของภาษีการค้าอีกข้อหาหนึ่งแยกจากกันได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแยกเป็นรายข้อหาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า ศาลมีอำนาจสั่งงดเบี้ยปรับแก่โจทก์หรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่าการงดเบี้ยปรับจะต้องได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมายเท่านั้น ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป11/2529 เห็นว่าตามคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวเป็นระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินต้องถือปฏิบัติไม่มีผลผูกพันศาล การงดหรือลดเบี้ยปรับเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และศาลยังมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีมีเหตุอันสมควร อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่าโจทก์มีเงินได้จากการขายที่ดินอันเป็นทางค้าหรือหากำไร แต่หักภาษีณ ที่จ่ายไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง แล้วไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อเสียภาษีเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนและไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการค้าแม้ต่อมาจะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ซื้อที่ดินคืนที่ดินแก่โจทก์และโจทก์คืนเงินค่าที่ดินที่รับไว้แก่ผู้ซื้อ กรณีก็ยังสมควรต้องเรียกเบี้ยปรับ ที่ศาลภาษีอากรกลางให้งดเบี้ยปรับแก่โจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย และที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายเหมาะสมแล้วอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share