คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3508/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องโดยได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์แล้วว่าคำนวณอย่างไร ไม่จำเป็นต้องระบุยอดหนี้ที่ค้างชำระในแต่ละเดือนว่าเป็นเท่าไรหรือโจทก์คำนวณดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่อีกเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ไม่ได้ฟ้อง ร.ในฐานะทายาทของจำเลยที่2ร. เพียงแต่เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้ ร. ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 2 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 24 สิงหาคม 2533 จำเลยทั้งสามกู้เงินจากโจทก์ สาขาภูเก็ตจำนวน 8,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี กำหนดผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ทุกวันสิ้นเดือนอย่างน้อยเดือนละ 283,200 บาทเริ่มผ่อนชำระตั้งแต่เดือนกันยายน 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ และจำเลยทั้งสามได้รับเงินกู้ไปครบถ้วนแล้วเพื่อเป็นหลักประกันจำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 896 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วและที่จะมีต่อไปในภายหน้าจำนองแก่โจทก์จำนวน 8,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นอกจากนี้จำเลยยังตกลงอีกว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระเงินขาดอยู่เท่าใด จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้ส่วนที่ขาดจนครบถ้วนหลังจากที่กู้เงินไปแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้โดยเริ่มผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2533 โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสามซึ่งได้รับแล้วแต่เพิกเฉย เมื่อคิดยอดหนี้ในวันที่ 8ตุลาคม 2533 อันเป็นวันเริ่มค้างชำระดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามเป็นหนี้เงินต้นจำนวน8,000,000 บาท เมื่อคิดดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน 3,946,465.43 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสามนำเงินมาชำระดอกเบี้ยบางส่วนเป็นเงิน 123,000 บาท จำเลยทั้งสามยังคงค้างดอกเบี้ยจำนวน 3,823,465.43 บาท รวมเป็นหนี้ทั้งสิ้น 11,823,465.43 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 11,823,465.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากเงินต้นจำนวน 8,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 896 ตำบลบางเทาอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแทน หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าหนี้ที่ค้างชำระจำนวน 11,823,465.43 บาท มีการคิดคำนวณอย่างไร และค้างเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกี่เดือนเดือนละเท่าใด นอกจากนี้การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสามค้างชำระหนี้เป็นจำนวนมากก็ไม่อาจทราบได้ว่า หนี้ที่ค้างชำระมีจำนวนเท่าใด โจทก์ไม่มีสิทธิปรับดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งโจทก์ไม่เคยแจ้งการปรับดอกเบี้ยให้จำเลยทั้งสามทราบ จำเลยที่ 3 ไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้และหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเนื่องจากผู้ที่ลงชื่อในใบตอบรับไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของจำเลยที่ 3 และไม่ทราบว่าเป็นใคร การบอกกล่าวของโจทก์และผู้รับมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นางสาวรัตนา หมาดเด็น ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 11,823465.43 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากเงินต้นจำนวน 8,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 29 พฤษภาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 896 ตำบลบางเทา อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 80,000 บาท ทั้งนี้จำเลยที่ 2ในฐานะทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ดอกเบี้ยรวมเงินต้นจำนวน 11,824,456.43 บาท (ที่ถูกน่าจะเป็น11,823,465.43 บาท) คำนวณอย่างไร ในแต่ละช่วงที่โจทก์ปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นโจทก์คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นหรือหนี้เงินต้นรวมดอกเบี้ยด้วย และโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามค้างชำระเงินต้นและดอกเบี้ยกี่เดือน เดือนใดบ้างในแต่ละเดือนเป็นเงินเท่าใด และคำนวณดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกู้เงินไปจากโจทก์ 8,000,000 บาท ตกลงยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี กำหนดผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนอย่างน้อยที่สุดเดือนละ 283,200 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2533 เป็นต้นไปหากมีกฎหมายหรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยหรือประกาศของธนาคารโจทก์กำหนดเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับเงินกู้ประเภทต่าง ๆ จำเลยทั้งสามยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยตามอัตราสูงสุดดังกล่าวได้ จำเลยเริ่มผิดนัดไม่ชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2533 เป็นต้นไป เมื่อคิดยอดหนี้ ณ วันดังกล่าวจำเลยเป็นหนี้เงินต้น8,000,000 บาท และคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นดังกล่าวโดยคิดอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2533 ถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2533 อัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2535 อัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2536 ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 เป็นดอกเบี้ยรวม 3,946,465.43 บาท ในระหว่างนั้นจำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ย 123,000 บาท คงค้างดอกเบี้ย3,823,465.43 บาท รวมเป็นหนี้ทั้งสิ้น 11,823,465.43 บาท คำบรรยายฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์แล้วว่าคำนวณอย่างไร ไม่จำเป็นต้องระบุยอดหนี้ที่ค้างชำระในแต่ละเดือนว่าเป็นเท่าไรหรือโจทก์คำนวณดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่ดังที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาอีกเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อนี้ไม่ฟังขึ้น…

อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องนางสาวรัตนา หมาดเด็น ในฐานะทายาทของนางฝ่า หมาดเด็น จำเลยที่ 2 นางสาวรัตนาเพียงแต่เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งถึงแก่กรรม ในระหว่างพิจารณาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะพิพากษาให้นางสาวรัตนาในฐานะทายาทของจำเลยที่ 2ชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ในส่วนนี้ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 11,823,465.43 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีจากเงินต้นจำนวน 8,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 29 พฤษภาคม 2536) เป็นต้นไป จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 896 ตำบลบางเทา อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ให้ครบถ้วน

Share