แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารณาว่าฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกหรือไม่ ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ไม่ใช่พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลและโจทก์เมื่อศาลรับคำฟ้องแล้ว ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลแขวงไว้แล้ว ระหว่างส่งหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องให้แก่จำเลย โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยข้อหาเดียวกันต่อศาลอาญา ฟ้องคดีหลังของโจทก์เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความโจทก์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์บ้านเมือง หนังสือพิมพ์ข่าวสดและหนังสือพิมพ์อื่น ๆ อีกหลายฉบับซึ่งเป็นบุคคลที่สาม ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 90, 326, 328, 332 กับขอให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์บ้านเมือง มีกำหนดฉบับละ 7 วัน โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 302/2542 ของศาลแขวงพระนครเหนือหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2542 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยทั้งสองกรรมเดียวกันนี้ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ คือ คดีหมายเลขดำที่ 302/2542 คดีอยู่ระหว่างศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง และส่งหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสอง ต่อมาวันที่ 24 เดือนเดียวกัน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ดังนั้นโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่คดีหมายเลขดำที่ 302/2545 อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลแขวงพระนครเหนือ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 302/2542 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่โจทก์ฎีกาว่า กรณีที่จะเป็นฟ้องซ้อนได้จะต้องเป็นการยื่นฟ้องหลังจากคำสั่งประทับฟ้องคดีแรกแล้ว เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว
” นั้น เห็นว่า กรณีจะเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) หาใช่พิจารณาตามมาตรา 173 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลและโจทก์เมื่อศาลรับคำฟ้องแล้วไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.