คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์อุปการะเลี้ยงดูจำเลยมาตั้งแต่จำเลยอายุได้ 7 วัน ต่อมาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม แสดงว่าโจทก์เมตตารักใคร่จำเลยเสมือนลูก โจทก์ได้ให้การศึกษาที่ดีแก่จำเลยและอุปการะเลี้ยงดูจำเลยตลอดมาจนจำเลยสมรสมีครอบครัวโจทก์ก็ยังมีความรักและความเมตตาต่อจำเลยตั้งใจจะยกทรัพย์สมบัติให้ แต่เมื่อจำเลยเติบใหญ่ขึ้นมากลับไม่มีความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้มีพระคุณ จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรง อันเป็นเรื่องที่บุตรไม่พึงกระทำต่อมารดาทั้งจำเลยมักหาเรื่องระรานโจทก์อยู่ตลอดเวลาและยังนำอาวุธปืนมาขู่จะฆ่าโจทก์ ครั้งสุดท้ายจำเลยด่าว่าโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่นอีก นับว่าจำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์แล้ว นอกจากนั้นจำเลยยังไม่มีความซื่อสัตย์ต่อโจทก์จะเอาที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว โดยมิได้เป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร เหยียดหยามโจทก์อันเป็นการทำชั่วอย่างร้ายแรง ไม่สมควรที่จะให้จำเลยเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์อีกต่อไป โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเลิกรับบุตรบุญธรรมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมและโจทก์อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่จำเลยตลอดมา ในระหว่างจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมนั้น จำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมต่อการเป็นบุตรบุญธรรมอย่างร้ายแรง กล่าวคือ จำเลยทำการชั่วร้ายโดยทุจริตให้โจทก์โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 764 ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 68 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา เป็นของจำเลยอ้างว่าซื้อที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะขายที่ดินให้จำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ต้องฟ้องเพิกถอนนิติกรรมและเรียกที่ดินคืนจากจำเลยต่อศาลแพ่ง และต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ตกลงยอมโอนที่ดินบางส่วนคืนให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้จำเลยได้ดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงต่อหน้าบุคคลอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคายโดยจำเลยด่าโจทก์ว่า “เป็นคนโง่ คนเซ่อ ถูกเขาโกง เซ่อก็รับว่าเซ่อ โง่ก็รับว่าโง่ เป็นคนขี้โกง พูดจาเลอะเลือน” ทั้งด่าบิดาโจทก์ต่อหน้าโจทก์ว่า บิดาโจทก์สติวิปลาสพร้อมกับชี้หน้าโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่นโดยไม่เคารพยำเกรงโจทก์ ทั้งยังเขียนอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 6817/2537 ของศาลแพ่ง ใส่ความโจทก์ว่า โจทก์มีความจำเลอะเลือน และกล่าวหาโจทก์โดยพูดว่าเตรียมขนของย้ายได้อย่าหวังว่าจะได้ที่ดินเพิ่มขึ้น ที่หลอกให้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ก็สาธุแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพื่อจะทำให้โจทก์เสียหายทั้งจำเลยยังประทุษร้ายจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงโดยเข้ามาในบริเวณบ้านของโจทก์และขู่เข็ญโจทก์ว่า “โจทก์จะติดคุก ตำรวจจะมาจับ” และดูหมิ่นโจทก์ต่อหน้าว่าโจทก์เป็นคนโง่เซ่อ การกระทำของจำเลยเป็นการประทุษร้ายโจทก์และแสดงออกถึงอารมณ์ก้าวร้าวไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ โจทก์ไม่ประสงค์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ขอศาลพิพากษาให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมระหว่างโจทก์กับจำเลย และให้จำเลยไปจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรมกับโจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยรับว่าโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมจริงและโจทก์เลี้ยงดูให้การศึกษาจำเลยเปรียบประดุจมารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์สั่งสอนให้จำเลยมีเมตตา ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณคน และอุปนิสัยอันดีงามของโจทก์หล่อหลอมมาสู่จำเลยเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยก้าวร้าวโจทก์ ด้วยการกระทำความดีดังกล่าว โจทก์จึงโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 764 เลขที่ดิน 17 ให้จำเลยโดยทำเป็นสัญญาซื้อขาย แต่โจทก์ฟ้องเรียกคืนเพราะญาติและหลาน ๆ ของโจทก์ต้องการที่ดินทั้งวางแผนกันจนจำเลยถูกบังคับให้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความและต่อมาโจทก์ถูกนายสมพร ดำพริก ทนายความของโจทก์ฟ้องเรียกค่าว่าความจากโจทก์เป็นเงิน60,000,000 บาท โจทก์ฟ้องขอเลิกรับบุตรบุญธรรมเพราะคำยุยงของญาติและหลาน ๆ ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เลิกการรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะฟ้องขอเลิกรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า โจทก์รับจำเลยมาเลี้ยงตั้งแต่ปี 2491 ขณะนั้นจำเลยมีอายุ 7 วัน ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่จำเลยตลอดมา เมื่อจำเลยอายุ 21 ปีได้สมรสกับนายวิโรจน์ อรุณพันธ์ และอยู่บ้านเดียวกันกับโจทก์ จำเลยมีนิสัยก้าวร้าวมากในปี 2535 จำเลยนำอาวุธปืนออกมาขู่จะยิงโจทก์ จนโจทก์ต้องมาปลูกบ้านหลังใหม่ใกล้เคียงกับหลังเดิม จำเลยได้มาที่บ้านหลังใหม่เกือบทุกวันพูดจาด่าว่าโจทก์ว่า โง่ก็ให้รับว่าโง่ เซ่อก็ให้รับว่าเซ่อ จำเลยหาเรื่องชวนวิวาทกับโจทก์เกือบทุกวัน โจทก์มีที่ดินได้รับมรดกจากบิดาแต่ถูกทางราชการเวนคืนไปบางส่วนคงเหลือเนื้อที่ 68 ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร โจทก์มีเจตนาจะยกที่ดินให้จำเลย 30 ไร่อีก 30 ไร่เศษโจทก์ตั้งใจจะขายและแบ่งให้หลานคนอื่น ๆ บ้าง ต่อมาโจทก์ จำเลยสามีจำเลยและเพื่อนสามีจำเลยได้ไปที่สำนักงานที่ดินมีนบุรีเพื่อทำนิติกรรมแบ่งแยกจำเลยให้โจทก์รออยู่ข้างนอกจำเลยกับสามีและเพื่อนสามีจำเลยได้เข้าไปพบเจ้าพนักงานที่ดิน โจทก์ตกลงกับจำเลยและสามีจำเลยไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า โจทก์จะแบ่งที่ดินให้จำเลย30 ไร่เศษซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือและมีถนนผ่ากลาง ส่วนทางทิศใต้โจทก์ขอกันไว้ขาย20 ไร่ และที่เหลือจะแบ่งให้หลาน 4 คน คนละ 1 ไร่ ซึ่งจำเลยและสามีทราบเจตนาของโจทก์เป็นอย่างดี ในระหว่างที่โจทก์รออยู่นอกห้องเจ้าพนักงานที่ดินปรากฏว่าจำเลยกับสามีได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า โจทก์มาทำนิติกรรมขายที่ดินทั้ง 68 ไร่เศษให้แก่จำเลยในราคา 4,000,000 บาท ซึ่งไม่เป็นความจริง ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งเรียกที่ดินทั้งหมดคืน จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลตกลงว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ทั้งหมด โดยโจทก์ยอมแบ่งที่ดินให้จำเลย 10 ไร่ ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความกลับอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษายืน แม้ศาลฎีกาจะพิพากษายืน จำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามโดยไม่โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ทำให้โจทก์ต้องแจ้งอายัดการทำนิติกรรมในที่ดินแปลงดังกล่าว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายมาก ในการว่าจ้างทนายความฟ้องเรียกที่ดินคืน ทนายความเรียกค่าว่าความจากโจทก์ถึง 56,000,000บาท ซึ่งโจทก์ถูกทนายความฟ้องเรียกเงินจำนวนดังกล่าวที่ศาลแพ่ง นอกจากนี้หากโจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ ต้องเสียภาษีการโอนอีกจำนวน30,000,000 บาท ในต้นปี 2542 จำเลยได้ด่าว่าโจทก์อีกว่า ถูกหลานคบคิดกับทนายความหลอกลวง จำเลยด่าว่าโจทก์เป็นคนโง่ สติเลอะเลือน และยังมีคำด่าอีกมากมาย นอกจากนี้จำเลยยังได้ด่าว่าบิดาโจทก์ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้วว่า บิดาโจทก์สติฟั่นเฟือนเลอะเลือน ทั้งในการยื่นอุทธรณ์คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยก็ปรากฏว่าจำเลยเขียนอุทธรณ์มีข้อความหาว่าโจทก์มีสติเลอะเลือน และหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยได้บุกรุกพังประตูเข้ามาในบ้านโจทก์จนทำให้ประตูบ้านได้รับความเสียหาย จำเลยยังมีกิริยาก้าวร้าวขู่เข็ญโจทก์ไม่เว้นแต่ละวัน เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่า เมื่อปี 2535 จำเลยนำอาวุธปืนมาขู่โจทก์และจำเลยด่าโจทก์ว่าโง่ให้รับว่าโง่ เซ่อให้รับว่าเซ่อ จากนั้นจำเลยก็หาเรื่องชวนทะเลาะวิวาทกับโจทก์เกือบทุกวัน นางสบัด โพธิแสง ซึ่งเป็นคนงานของโจทก์ก็เบิกความว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่กับโจทก์ 12 ปี จำเลยชอบหาเรื่องชวนทะเลาะกับโจทก์อยู่เป็นประจำ เดือนหนึ่งหลายครั้งจนนับไม่ได้ แสดงว่านอกจากจำเลยจะด่าว่าโจทก์แล้ว จำเลยยังหาเรื่องชวนวิวาทกับโจทก์ตลอดมา จนโจทก์ต้องไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.2 เห็นได้ว่า โจทก์ไม่สามารถอดทนต่อการกระทำของจำเลยที่มีลักษณะก้าวร้าวได้อีกต่อไป ทั้งในการเขียนอุทธรณ์คำพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลย ปรากฏว่าจำเลยได้กล่าวในอุทธรณ์ว่า โจทก์มีความจำเลอะเลือน ปรากฏตามสำเนาอุทธรณ์เอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นที่ปรากฏแก่ผู้เกี่ยวข้องและทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์มีความจำเลอะเลือนดังที่จำเลยกล่าวอ้าง และเมื่อต้นปี 2542 จำเลยด่าโจทก์อีกว่า โจทก์ถูกลูกหลานคบคิดกับทนายความหลอกลวงและโจทก์เป็นคนโง่ สติเลอะเลือน และยังมีคำด่าอีกมากมาย ซึ่งโจทก์มีนางอัญญาวัฒนานนท์ หลานสะใภ้โจทก์และนางสบัด โพธิแสง คนงานของโจทก์มาเบิกความสนับสนุนว่า ในปี 2542 ได้ยินจำเลยด่าโจทก์ว่าโง่ถูกคนอื่นหลอก นอกจากนั้นพยานโจทก์ทั้งสองยังเบิกความถึงการกระทำอันไม่สมควรของจำเลยที่กระทำต่อโจทก์อีกด้วยไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะแกล้งเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่เคยดุด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย จำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักฟังได้ว่า ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมาจำเลยได้ด่าว่าโจทก์ และกระทำการหาเรื่องรบกวนโจทก์ตลอดเวลา ในส่วนของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 764 ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรีกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 68 ไร่ ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ขายให้จำเลยในราคา4,000,000 บาท ปรากฏตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน เอกสารหมาย ล.5 นั้น โจทก์เบิกความว่าโจทก์ตั้งใจแบ่งให้จำเลยประมาณ 30 ไร่ ส่วนที่เหลือตั้งใจจะขายและแบ่งให้หลานคนอื่นบ้าง แต่ขณะไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินจำเลยกลับแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ขายที่ดินทั้งหมดให้จำเลยในราคา 4,000,000 บาท ซึ่งโจทก์ถูกจำเลยหลอกลวง ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบว่าการทำนิติกรรม มิได้เป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งเรียกที่ดินคืนจากจำเลยทั้งหมด ซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยจำเลยยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งหมด ส่วนโจทก์จะแบ่งที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ ให้แก่จำเลยปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย จ.4 หากเป็นเรื่องที่โจทก์ขายที่ดินให้จำเลยจริงแล้วก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความคืนที่ดินให้แก่โจทก์ แม้โจทก์จะยังไม่สมรสแต่โจทก์ก็มีพี่น้องและหลานอีกหลายคน ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์จะเก็บที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขายและอีกส่วนหนึ่งจะยกให้หลานนั้นนับว่ามีเหตุผล การทำนิติกรรมการขายที่ดินเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2530 มิได้เป็นไปตามเจตนาที่แท้จริงของโจทก์ โจทก์อุปการะเลี้ยงดูจำเลยมาตั้งแต่จำเลยอายุได้7 วัน ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม แสดงว่าโจทก์เมตตารักใคร่จำเลยเสมือนลูก โจทก์ได้ให้การศึกษาที่ดีแก่จำเลยและอุปการะเลี้ยงดูจำเลยตลอดมาจนจำเลยสมรสมีครอบครัว โจทก์ก็ยังมีความรักและความเมตตาต่อจำเลยตั้งใจจะยกทรัพย์สมบัติให้ แต่จำเลยเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมากลับไม่มีความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้มีพระคุณต่อจำเลย กลับด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่บุตรไม่พึงกระทำต่อมารดาเท่านั้นยังไม่พอจำเลยได้หาเรื่องระรานโจทก์อยู่ตลอดเวลาและยังได้นำอาวุธปืนมาขู่ว่าจะฆ่าโจทก์อีกด้วย ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2542 จำเลยก็ได้ด่าว่าโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่นอีก นับว่าจำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์แล้ว นอกจากนี้จำเลยยังไม่มีความซื่อสัตย์ต่อโจทก์จะเอาที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ไม่ได้เป็นความประสงค์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร เหยียดหยามโจทก์และบุพการีของโจทก์เป็นการทำชั่วอย่างร้ายแรง ไม่สมควรที่จะให้จำเลยเป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์อีกต่อไป โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเลิกรับบุตรบุญธรรมได้ ที่ศาลทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share