คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องขัดทรัพย์ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 288 นั้น กฎหมายให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอได้ แต่เพียงให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดเท่านั้นจะเรียกร้องค่าเสียหายในการที่ถูกยึดด้วยไม่ได้ หากติดใจเรียกร้องเอาค่าเสียหาย ก็ต้องว่ากล่าวอีกส่วนหนึ่ง
ร้องขัดทรัพย์ และตั้งทุนทรัพย์มาเป็นเงิน 2000 บาท กับเรียกค่าเสียหายอีก 1000 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ทักท้วงประการใดคงรับวินิจฉัยคดีให้ ในที่สุดพิพากษาต้องกันว่าเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ มิใช่ของผู้ร้อง จึงยกคำร้องของผู้ร้องเสียดังนี้ ผู้ร้องจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะทรัพย์ที่พิพาทในคดี ถือได้ว่ามีเพียง 2000 บาท เท่านั้น ส่วนค่าเสียหายอีก 1000 บาท ผู้ร้องจะร้องขึ้นมาด้วยไม่ได้ ต้องตัดออกเสีย

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ชนะคดีจำเลยๆไม่ใช้เงินตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำยึดเรื่อน ๒ หลัง ของจำเลย
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ขึ้นมาว่า เรือน ๒ หลังนี้ มีราคา ๒๐๐๐ บาท เป็นของผู้ร้อง การยึดนี้ทำให้ผู้ร้องเสียหายคิดเป็นเงิน ๑๐๐๐ บาท จึงขอให้ถอนการยึด และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๑๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การยืนยันว่า เป็นทรัพย์ของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาคดีแล้ว ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดและที่ผู้ร้องคัดค้านให้ถอนการยึด ซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทกันในคดีนี้มีราคา ๒๐๐๐ บาท กับผู้ร้องได้เรียกค่าเสียหายอีก ๑๐๐๐ บาท แต่สำหรับค่าเสียหายนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๘๘ หาได้ให้อำนาจผู้ร้องที่จะมีคำขอขึ้นมาในชั้นนี้ไม่ คงขอได้แต่เพียงให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดเท่านั้น หากติดใจเรียกค่าเสียหาย ก็ต้องว่ากล่าวอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อตัดค่าเสียหายออกเสีย ทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีนี้ จึงมีราคาเพียง ๒๐๐๐ บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง

จึงให้ยกฎีกาของผู้ร้องเสีย

Share