แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 5 เป็นผู้จัดการ มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานและทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ เป็นการได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงถือว่าจำเลยที่ 5 เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสองตามคำนิยามของคำว่า “นายจ้าง” ในข้อ 2 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า”นายจ้าง” ไว้ว่าให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนผู้มีอำนาจกระทำแทนนิติบุคคลด้วย.
ย่อยาว
คดีทั้งยี่สิบสองสำนวนนี้ ศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งยี่สิบสองสำนวนเป็นโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 22 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งยี่สิบสองสำนวนฟ้องและโจทก์ที่ 1 แก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการขายข้าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 5 เป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งห้าได้จ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสองคนเป็นลูกจ้างต่อมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม2534 จำเลยทั้งห้าได้สั่งพักงานโจทก์ทั้งยี่สิบสองโดยไม่มีกำหนดอ้างว่าเพื่อปรับปรุงกิจการโดยไม่จ่ายค่าจ้างให้โดยโจทก์ทั้งยี่สิบสองไม่มีความผิด นอกจากนั้นจำเลยทั้งห้าไม่ต่ออายุสัญญาเช่าอาคารที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ พร้อมทั้งดำเนินการขนย้าย เครื่องจักรเครื่องมือออกจากสำนักงานและปิดสถานที่ทำงานดังกล่าว โจทก์ทั้งยี่สิบสองได้ติดต่อขอทำงานและขอรับค่าจ้างตามปกติต่อไปแต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉยจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 7 วัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งห้าได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสองตั้งแต่วันที่8 กันยายน 2534 โดยโจทก์ทั้งยี่สิบสองไม่มีความผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าชำระค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินค่าจ้างค้างจ่ายดังกล่าว และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินค่าชดเชยตามจำนวนของโจทก์แต่ละคนดังกล่าวนับแต่วันที่ 8 กันยายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระให้โจทก์แต่ละคนดังกล่าวแล้วเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเพียงกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นเพียงพนักงานของจำเลยที่ 1 มิได้เข้าหุ้นหรือร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการว่าจ้างโจทก์ดังนั้นจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสองเพราะโจทก์ทั้งยี่สิบสองกระทำผิดโดยร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารซึ่งอยู่ในความดูแลไปทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสองโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้าเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสองและพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ย ให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบสอง
จำเลยทั้งห้าทุกสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการ และมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 5 มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานได้และทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 5 ได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 5 เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสองตามคำนิยามของคำว่า “นายจ้าง” ในข้อ 2 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า “นายจ้าง” ไว้ว่าให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลด้วย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสองจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าทุกสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.