คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

กำหนดระยะเวลาบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นหมายถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2540 จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา แต่จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นอุทธรณ์คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 3 พฤษภาคม 2540 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง กำหนดระยะเวลาบังคับคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 ยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด จึงอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาที่ผู้ร้องจะขอบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาจำนวน 248,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จำนวน 77,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืนเป็นเงิน 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 246,500 บาท กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์ล้มละลายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นำสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในคดีนี้ออกขายโดยวิธีประมูลขายทอดตลาด ผู้ร้องเป็นผู้ชนะการประมูล และได้ชำระเงินครบถ้วนแล้ว ผู้ร้องจึงได้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาในคดีนี้ ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ และเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในสิบห้าวันนับแต่วันได้รับคำบังคับ เมื่อครบกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องได้ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ ค่าคำขอให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาแต่การที่จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาพออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองแล้วหรือไม่ เห็นว่า กำหนดระยะเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น หมายถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2540 จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา แต่จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 3 พฤษภาคม 2540 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง กำหนดระยะเวลาบังคับคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 ยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดจึงอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาที่ผู้ร้องจะขอบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้องโดยไม่ชอบ และกรณีต้องมีการบังคับคดีต่อไป แต่ระยะเวลาบังคับคดีได้ล่วงพ้นไปแล้วในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาอันเป็นผลมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวนับได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะต้องขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้อง เพื่อให้การบังคับคดีสามารถดำเนินการต่อไปได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องเป็นเวลา 30 วัน”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของผู้ร้องและให้ขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องต่อไปอีก 30 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share