แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นระหว่างที่ผู้ตายกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันและร่วมกันประกอบกิจการโรงงาน อันเป็นหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490ดังนี้ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาขายทอดตลาด แม้ผู้ร้องจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์สินดังกล่าวได้.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและเป็นภริยาผู้รับมรดกของนายสุรชัย ปรีชาอนันตกุล จำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ในฐานะผู้รับมรดกของนายสุรชัยปรีชาอนันตกุล ให้ร่วมกันชำระหนี้ตามเช็ค 17 ฉบับ ซึ่งนายสุรชัยได้สั่งจ่ายรวมเป็นเงิน 646,190 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ โดยให้จำเลยทั้งหกรับผิดไม่เกินจำนวนทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องสั่นเงา เครื่องฉีดและอาคารโรงงานเลขที่ 55/10 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6047 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินที่มีขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างผู้ร้องกับนายสุรชัยผู้ตายผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่งและหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ส่วนตัวของผู้ตาย ขอให้ศาลกันเงินจากการขายทอดตลาดครึ่งหนึ่งเป็นของผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินส่วนตัวของนายสุรชัยปรีชาอนันตกุล ผู้ตาย ผู้ตายได้ประกอบกิจการโรงงานโดยตนเองก่อนสมรส หนี้ที่เกิดขึ้นผู้ตายกับผู้ร้องมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องกับสินสมรส ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์600 บาท แทนโจทก์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อปี 2516 นายสุรชัย ปรีชาอนันตกุล ผู้ตายได้เช่าที่ดินโฉนดที่ 6047 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ของนางเขียน สุดใจ ทำการปลูกสร้างอาคารโรงงานเลขที่ 55/10 และซื้อเครื่องสั่นเงา เครื่องฉีด มาทำหัวเข็มขัด โดยใช้ชื่อโชคทวีในปี 2518 ผู้ตายได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ร้อง ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย ล.1 ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องกับผู้ตายได้อยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2512 ผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในโรงงานเครื่องสั่นเงา และเครื่องฉีด หนี้สินที่ผู้ตายก่อขึ้น ผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้ร่วมนั้น ปัญหาวินิจฉัยมีว่า หนี้สินตามฟ้องเป็นหนี้ส่วนตัวของผู้ตายหรือไม่ ตามคำเบิกความของผู้ร้อง ผู้ตายเป็นผู้ดำเนินกิจการโรงงานโชคทวีแต่ผู้เดียว โจทก์เบิกความว่าได้ติดต่อทำการค้ากับผู้ตายมา 7-8 ปี โดยผู้ตายนำโลหะที่ผลิตขึ้นมาชุบที่โรงงานของโจทก์ ผู้ตายได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าชุบของ ค่าแชร์ และนำเช็คมาแลกเงินสดนำเงินไปใช้ในกิจการค้าและผู้ร้องเคยสลักหลังเช็คตามเอกสารหมาย จ.5 เช็คตรมเอกสารหมายจ.3 ถึง จ.5 และ ร.4 ถึง ร.10 ปรากฏว่าได้ประทับตราโชคทวีทุกฉบับฟังได้ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นในระหว่างที่ผู้ตายกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันได้ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาเพื่อขายทอดตลาด แม้ผู้ร้องจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 500 บาทแทนโจทก์.